5 สิ่ง ที่พระองค์ทรงสอนให้ แล้วคุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น

 


5 สิ่ง ที่พระองค์ทรงสอนให้ แล้วคุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ในโลกนี้มีอยู่ด้วยกันหลายศาสนาซึ่งในแต่ละศาสนานั้นก็มีหลักคำสอน และหลักในการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ในประเทศเรานั้นประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าศาสนาพุทธหรือพระพุทธศาสนานั้นหมายถึงอะไร

พระพุทธศาสนา โดยความหมายแล้ว หมายถึงศาสนาแห่งความรู้แจ้ง เป็นศาสนาที่มีพระรัตนตรัย เป็นสรณะอันสูงสุด อันได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ โดยพระรัตนตรัยทั้ง ๓ นี้ย่อมมีคุณเกี่ยวพันเป็นอันเดียวกัน จะแยกออกจากกันโดยเฉพาะไม่ได้ ด้วยพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมก่อนแล้วสอนให้พระสงฆ์รู้ธรรม พระธรรมนั้น พระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าย่อมจำทรงไว้ ปฏิบัติและสั่งสอนสืบต่อพระศาสนา

หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาได้ถูกบันทึกรวบรวมไว้ในคัมภีร์ชื่อ พระไตรปิฏก อันประกอบด้วย พระธรรม คือความรู้ในสัจธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วนำมาแสดงแก่ชาวโลก กับ พระวินัย คือข้อบังคับต่างๆ ที่ทรงบัญญัติไว้สำหรับผู้ที่บวชเป็นสาวกในศาสนานี้

พระพุทธเจ้า ได้เริ่มออกเผยแผ่คำสอนดังกล่าวในภูมิภาคที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน ตั้งแต่เมื่อ 45 ปีก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะใน ทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออก, ตลอดจนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันรวมถึงประเทศไท ยด้วย

โดยพระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า

1 ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ

2 ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้กับเขามาก่อนเมื่ออดีตชาติ

3 เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในทันที

4 เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่าเมื่อสุดมือสอยก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า

5 ทำความดีในปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกร รมอะไรมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกร รมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญาจะคิดว่า กร รมใหม่ดีๆมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ สรุป กร รมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด

การนินทาว่าร้าย เป็นเรื่องของเขา การให้อภัย เป็นเรื่องของเรา

การชอบพูดถึงความดีของเขา คือ ความดีของเรา

การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือ ความไม่ดีของเรา

แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถือศาสนาไหน เพียงเราปฏิบัติตนโดยที่ไม่เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น มีน้ำใจช่วยผู้อื่นโดยที่ตัวเราเองไม่เดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว

ที่มา : sanook, JellyWalker