Home »
Uncategories »
ลูกชายไม่ยอมกักตัว หลังกลับจากเมืองนอก ทำพ่อแม่ติดเชื้อโควิด-19
ลูกชายไม่ยอมกักตัว หลังกลับจากเมืองนอก ทำพ่อแม่ติดเชื้อโควิด-19
ในโลกออนไลน์ได้มีผู้ใช้สมาชิกเฟซบุ๊ก ชื่อ Aum Sureewan ออกมาโพสต์เรื่องราวที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด โดยได้ระบุข้อความว่า…
จากกรณีผู้ป่วยโควิด-19 ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น รายที่ 5 และที่ 6
คุณตาคุณยายสองสามีภรรยา ที่มีอาชีพทำนาอยู่ตามบ้านนอก หาเช้ากินค่ำ
และมีโรคประจำตัวคือโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง
แล้วอยู่ดี ๆ วันนึง คุณตาคุณยายต้องมาป่วยด้วยโรคโควิด-19
ทั้งที่ภาระกิจแต่ละวัน ก็เเค่ ตื่นเช้าเดินลงทุ่งนา ตอนเย็นก็กลับบ้านนอน
ชีวิตวนเวียนอยู่แค่นี้ สุดท้ายมันก็มีคนเห็นแก่ตัว มักง่าย ลูกชายแท้ ๆ
ที่เอาเชื้อโรคมาแพร่ให้คนในบ้าน (ถ้าคุณจะบอกว่าคุณไม่รู้ คุณไม่ได้ตั้งใจ
แต่ประวัติการเดินทางของคุณ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
กลับจากต่างประเทศ -> กลับบ้าน -> เที่ยวพัทยา -> กลับบ้าน
-> แม่ป่วย) บุคลากรต้องกักตัวเอง เพราะคุณปกปิดข้อมูล เกือบร้อยคน
คุณรู้ไหมตอนนี้คุณยายอาการโคม่า คุณตายังตอบสนองได้ดีต่อการรักษา
แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์ รพ.ขอนแก่น
ถือเป็นกรณีตัวอย่างได้ดีมาก ในเรื่องของการให้ความสำคัญ ของ การกักตัวเอง1 4 วัน อย่างเคร่งครัดและไม่ปกปิดข้อมูล
แต่ทำไม เวลา จนท.ไปบอกหรือเตือนหรือแค่ขอความร่วมมือ เราต้องมาโดนคุณ
(บางคน) ด่า ตะคอกใส่ ทุกครั้งที่ออกพื้นที่ไปหาคุณ เราแทบคลานแทบหมอบ
ไหว้ไปตั้งแต่ประตูบ้าน ไม่ใช่กลัวโรค แต่เราต้องการแสดงถึงความเป็นมิตร
อยากลดความตื่นกลัว ตื่นตระหนก
แต่หลาย ๆ ครั้ง ที่เราต้องมาได้ยินคำพูดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ยกตนข่มท่านใส่
ฉันไม่ได้ป่วย ฉันไม่มีไข้ ฉันตรวจมาแล้ว ฉันกักตัวมาแล้ว
ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง มาบอกฉันให้กักตัวคุณไปบอกคนอื่นให้ได้ก่อน ทุกคำพูด
ส่อไปถึงความเห็นแก่ตัวล้วน ๆ แล้วไง เพราะคำพูดเหล่านี้ไหม ที่ทำให้พ่อแม่
คนที่คุณรัก อาจจะต้องมาเสีຍชีวิต เพราะความมักง่าย และเห็นแก่ตัวของคุณ
คุณคิดว่า!! การใส่ชุดแบบนี้ เดินตามบ้าน ทุ่งนา สวน กลางแดดเปรี้ยง ๆ
มันสนุกนักหรอ คิดว่าเราอยากจะทำหรอ ดูเหมือนพวกเราไม่เดือนร้อน
ไม่ได้รับผลกระทบ คุณคิดว่าพวกเราได้เบี้ยเลี้ยง ได้ค่าตอบแทนหรอ ไม่มีค่ะ
ขนาดชุด วัสดุอุปกรณ์ ยังขอรับบริจาค แล้วตอนนี้คุณรู้ไหม
บุลาการทางการแพทย์ 1 คน ต้องดูแลประชากรหลักหมื่น
คุณคิดว่าเราจะทนแรงต้านไหวไหม
แต่สุดท้ายแล้ว เราทุกคนก็ต้องสู้ต่อ เพราะมันคือหน้าที่ ไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็แค่เสีຍชีวิต แต่!!ฉันขอเสีຍชีวิต โดยที่..
ให้ญาติได้นิมนต์พระมาสวด
ให้ญาติได้เห็นหน้าฉันก่อนเผา
ให้ญาติได้ยินเสียงฉันร่ำรา
ให้เราได้กอดกันจนวินาทีสุดท้าย
ฉันไม่อยากเสีຍชีวิตแบบโควิด-19
จากเสียงของบุคลากรเล็ก ๆ ที่นายอาจจะมองไม่เห็นคุณค่า
….โพสต์นี้ไม่ได้มีเจตนาตำหนิใครหรือว่าใคร
แค่อยากยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน
และอยากให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาให้ นึกถึงคนที่เรารักให้มาก ๆ
นะคะ
#ฝากไว้ให้คิด
แหล่งที่มา: Aum Sureewan
เรียบเรียงโดย esancuisine.com