เอามาเตือนใจ คนมีรถ ขับรถประจำ ไม่ผิดหวังแน่นอน

 


เอามาเตือนใจ คนมีรถ ขับรถประจำ ไม่ผิดหวังแน่นอน

ทุกวันนี้เราแทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีรถยนต์เป็นของตัวเองนั้นสร้างความสะดวกสบายให้กับชีวิตของเรามากขึ้นมาไม่น้อย การมีรถช่วยให้เราไปไหนมาไหนได้สะดวกมากขึ้น และในยุคสมัยนี้ใครๆก็สามารถขับรถไปไหนมาไหนได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงแม้ทุกคนจะขับรถได้แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสติในเวลาที่ขับรถ บางครั้งเมื่อเกิดเหตุบางอย่างขึ้นในเวลาที่เราขับรถอยู่การมีสติและการตัดสินใจอย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เรานั้นปลอดจากภัยต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้

และในวันนี้เราก็มีเรื่องราวที่ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับใครหลายๆคนที่ต้องใช้รถอยู่เป็นประจำ นอกจากเป็นอุทาหรณ์แล้วยังถือเป็นความรู้ใหม่ที่จะคอยเตือนสติเราเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้น โดยบทความนี้ต้องการบอกต่อให้ทุกคนที่ขับรถโดยเฉพาะ ผู้ขับรถยนต์เกียร์ออโต้ และสุภาพสตรีอ่าน กรุณาอ่านให้จบนะ เพื่อความปลอด ภัยและมีสติ

เป็นวันที่ผมมิอาจลืมได้ในชีวิตนี้ เวลาประมาณ 11.00 นาฬิกา ผมได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษจาก ถนนจันทน์ มุ่งหน้าไปถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อที่จะไปทำบุญแจกสิ่งของ แถวถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด โดยขณะขับรถไปได้ประมาณ 20 นาที และมองไปที่คันเร่ง เห็นหน้าจอ ที่ 140 กิโลเมตร ผมก็ได้ถอนคันเร่งและแตะเบรก 2 ครั้งเพื่อลดความเร็ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมได้ลองใหม่อีก 3 ครั้ง คราวนี้กระชากเบรกมือด้วยอีก 2 ครั้ง เบรกเท้าอีกก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ความเร็วอยู่ที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จากนั้นผมได้พยายามกดโทรศัพท์ ไปหาเพื่อนสนิทที่นัดแนะไปทำบุญด้วยกัน และเพื่อนได้แนะนำให้ลดเกียร์ จาก D เป็น 2 และ L ความเร็วลดจาก 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 120- 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งลดลงได้เพียงเท่านี้

ความพยายามในการชะลอรถ มากกว่า 10 นาที และลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ไม่มีผลเลย ผมคิดว่าคงอาจจบชีวิตบนการทางพิเศษแล้ว เพื่อนได้แนะอีกครั้ง ผมจึงตั้งสมาธิเริ่มรวบรวม ความพยายามประมาณครั้งที่ 7 โดยโยกเกียร์มาที่ช่อง N เป็นเกียร์ว่าง คราวนี้รถได้ชะลอความเร็วลงมาก ผมได้ประคองขับรถต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร กว่ารถจะหยุดได้ ซึ่งผมก็สามารถหยุดชิดขอบทางได้ ผมรีบโทรบอกที่บ้าน เพราะตอนแรกนึกว่าคงไม่ได้โทรสั่งเสียหรือสั่งลา

ผมได้เดินอีกประมาณ 100 เมตรไปบอกเจ้าหน้าที่เก็บเงิน ที่ด่านเก็บเงินใกล้แจ้งวัฒนะ เพื่อขอความช่วย เหลือ รอประมาณ 10 นาที ก็มาช่วย ผลปรากฏว่าสาเหตุที่คันเร่งค้าง เพราะกล่องสัญญาณกันขโมย ซึ่งหนักประมาณเกือบครึ่งกิโลไปทับอยู่ที่ก้านของคันเร่งและเกิดการล็อคขึ้นได้

สอบถามกับอู่รถแล้วอู่แจ้งว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่คันเร่งค้างจากสาเหตุดังกล่าว เนื่องจากกล่องสัญญาณกันขโมยจะติดตั้งอยู่เหนือคันเร่งติดตัวถังรถ

สำหรับใครที่เจอเหตุการณ์คันเร่งค้างแบบ ให้ตั้งสติ ทำตาม 3 อย่างนี้

1 อย่าดับเครื่อง

2 เข้าเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็เหยียบคลัตช์แล้วปลดมาเกียร์ว่าง

3 เบรกโดยคำนึงถึงความปลอด ภัย

สาเหตุที่เราไม่ควรดับเครื่องเมื่อคันเร่งค้างทั้งๆที่เป็นการตัดกำลังเครื่องยนต์ที่แน่นอนมากนั้น เป็นเพราะการดับเครื่องยนต์ไม่ได้ตัดแค่กำลังเครื่อง แต่ยังส่งผลให้ระบบผ่อนแรงพวงมาลัยและระบบผ่อนแรงเบรกหยุดการทำงานตามไปด้วย ถามว่าพวงมาลัยจะหนักขนาดไหนให้ลองสตาร์ทรถ หมุนพวงมาลัยเล่น หมุนต่อไปเรื่อยๆอย่าหยุด ไปๆมาๆ จากนั้นดับเครื่อง จะเห็นว่ามันหน่วงมือขนาดไหน ส่วนเบรกจะหนักขนาดไหน ก็ลองหาที่โล่งๆ เร่งรถแล้วดับเครื่อง แล้วลองพยายามเบรกดูสิครับหนักไหม

สิ่งที่เรานำมาฝากนี้ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจึงนำมาบอกต่อเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อื่นให้ทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วควรมีสติและทำตามขั้นตอนที่เรานำมาฝากนี้เพื่อความปลอด ภัยของตัวท่านเองและผู้อื่นบนท้องถนน

ที่มา : โปรโมชั่น โตโยต้าจุใจ, headlightmag