Home »
Uncategories »
ทำไมหาเงินเท่าไหร่ ไม่เคยพอใช้สักที (ข้อคิดดีมาก)
ทำไมหาเงินเท่าไหร่ ไม่เคยพอใช้สักที (ข้อคิดดีมาก)
พูดกันติดปากตั้งแต่วัยทำงานจนถึงวัยเกษียณ ว่าหาเงินมาจ่ายออกหมด
หาเงินได้เท่าไหร่ก็ไม่พอจ่าย หาเงินมาไม่ทันได้ใช้
หาเงินมาได้ก็ไม่เคยมีเงินเก็บคนทำงานทุกคนต่างต้องการเงินเดือนสูงๆ
รายได้เยอะๆ กันทั้งนั้น อย่
างน้อยที่สุดก็ขอให้ได้เงินเดือนที่พอใช้จ่ายตลอดเดือน
เหลือเก็บบ้างเล็กน้อยก็ยังดี
แต่สภาพสังคมปัจจุบัน ชีวิตของคนทำงานมีสิ่งที่ทำให้ต้องเสียเงิน
เสียค่าใช้จ่ายค่ามากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นรายจ่ายที่สำคัญ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลง หรือลดรายจ่ายไม่ได้
เช่น ค่าผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำในแต่ละเดือน ค่าผ่อนสินค้า
ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเสริมสวย-ซื้อเครื่องสำอาง
ค่าใช้บริการฟิตเนส ค่าน้ำมันรถ
รายจ่ายเหล่านี้ เป็นการจ่ายเพื่อสิ่งที่ ‘อาจไม่จำเป็นต้องมี ต้องทำ
หรือต้องเป็น’ แต่ก็ยังดีกว่ารายจ่ายในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เช่น ค่าเหล้า
ค่าบุหรี่ ค่าหวย หรือค่าใช้จ่ายสำหรับอบายมุขต่างๆ
เงินเดือนเท่าไหร่จึงจะพอกับความต้องการจึงเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคนทำงาน
หลายคนมีรายได้มากกว่าตอนเริ่มต้นทำงาน แต่ก็ยังไม่พอใช้จ่าย ไม่พอใช้หนี้
ลองมองย้อนกลับไปในอดีต หากเราไม่ก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต
เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการอย่ างง่ายๆ ป่านนี้คงมีเงินเก็บมากมาย
หากคนทำงานอย่ างคุณ จ่ายค่าเหล้า ค่าบุหรี่ในแต่ละวัน
เท่าค่าใช้จ่ายประจำวันโดยเฉพาะค่าข้าว ถ้างดเหล้า งดบุหรี่ในแต่ละเดือน
จะเหลือเงินค่าข้าวเป็นสองเท่าเลยทีเดียว!
หากคุณมีรายได้หลักพัน หรือหลักหมื่นต้นๆ แต่ซื้อเสื้อผ้า
เครื่องประดับราคาแพงใส่ไปทำงาน
ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องละหลายหมื่นที่ยังต้องผ่อน
ดื่มกาแฟแก้วละเกือบร้อย
แม้จะเป็นความสุขของคนทำงานที่ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองจากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย
แต่ความทุกข์ที่ต้องจ่ายหรือเป็นหนี้จะตามมาในภายหลัง
พฤติก ร ร มและการใช้ชีวิตเช่นนี้ ส่งผลให้คนทำงานส่วนใหญ่มีหนี้สิน
แม้แต่คนที่ทำงานได้เงินเดือนสูงแต่บริหารรายได้ของตนเองไม่ดี
ก็ไม่เหลือเงินเก็บเพราะส่วนมากได้เงินเยอะก็ใช้เยอะตามไปด้วย
นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความอย ากได้อย ากมีของคน ยกตัวอย่ างง่ายๆ
ตอนเป็นเด็กคุณอาจจะคิดว่า มีเงินแค่ 1 ล้านบาท ก็ถือว่ารวยแล้ว
แต่เมื่อโตขึ้นมาเงิน 1 ล้านบาทอาจจะเป็นเงินจำนวนที่น้อยมากในสายตาคุณ
นั่นก็เพราะกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งคนเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่
กิเลสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตาม
‘สภาพและฐานะนุรูปที่คุณต้องสร้างภาพให้ปรากฏแก่สังคม’
ดังนั้นถึงจะมีเท่าไรก็ไม่พอใช้ เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ลองพิจารณาดูว่าในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน คุณอาจมีรายได้แค่หลักพัน
หรือหลักหมื่นต้นๆ จากรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในหนึ่งหนึ่งเดือน
เมื่อคุณมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ
รายได้ก็เกิดการไม่พอใช้ ต้องหมุนเงินเดือนชนเดือน
หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มคิดว่าถ้ามีเงินเดือนสามหมื่นบาทก็คงพอค่าใช้จ่าย
อยู่ได้สบายๆ แต่เมื่อเงินเดือนคุณถึงสามหมื่นเมื่อไหร่ก็กลับเข้าสู่พฤติก ร
ร มเดิม เงินสามหมื่นที่คิดว่าพอ สุดท้ายก็ไม่พออยู่ดี
จากที่เคยคิดว่า ‘ใช้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ’ พย าย ามเปลี่ยนมาเป็น ‘อย
ากเก็บออมให้ได้เยอะที่สุด จนรู้สึกว่าออมเท่าไหร่ก็ยังออมไม่พอ’ หรือ
สร้างหนี้ได้ แต่ต้องเป็น ‘หนี้เพื่ออนาคต’ ออมเงินกับประกันชีวิต
และฝากเงินกับธนาคาร จะได้สบายตอนแก่
หรือมีเงินเก็บไว้ใช้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
ประเมินรายจ่ายจากเงินเดือนหรือรายรับอื่นๆ ก่อนเสมอ
เพื่อจัดสรรเงินเดือนเป็นส่วนๆ คิดว่าควรจ่ายอะไรเท่าไหร่บ้าง
จะได้รู้ว่าที่จ่ายไปแต่ละเดือนจนไม่เหลือกินเหลือเก็บนั้น
รายจ่ายส่วนใดที่ไม่มีความจำเป็น ก็ค่อยๆ ตัดออกไป เรียกง่ายๆว่า
ใช้จ่ายอย่ างประหยัด
หากเก็บออม 1 ปี ได้ สัก 8 หมื่น เก็บออมได้ 3 ปี เป็น 2 แสน 4 หมื่น
ระหว่างนั่นอาจจะไปฝากธนาคาร ลงทุน ก็จะมีเงินเก็บเพิ่มได้
แม้ในอนาคตข้าวของเครื่องใช้จะขึ้นราคา คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไร
ถ้าเทียบกับคนที่ทำงานมา 3 ปีเท่ากัน แต่ไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
ที่สำคัญคุณจะมีเงินสำรองนอนนิ่งๆ ไว้ใช้ได้ย ามฉุกเฉิน เช่น ย ามเจ็บป่วย
หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
ที่มา : moneyhub.in.th