Home »
Uncategories »
มือใหม่ต้องรู้!! วิธีเลือกดอกเบี้ยบ้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ธนาคารไม่ค่อยบอก
มือใหม่ต้องรู้!! วิธีเลือกดอกเบี้ยบ้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ธนาคารไม่ค่อยบอก
วันนี้มีสาระความรู้ดี ๆ มาฝากทุกคนครับสำหรับใครที่สนใจ ซื้อบ้าน
ควรรู้ข้อมูลดี ๆ นี้ไว้ จะได้ไม่เสียเปรียบธนาคาร ซึ่งหลายคนจะเห็นว่า
อัตรา ดอกเบี้ย สินเชื่อ ที่อยู่อาศัย ธนาคารจะมีให้เลือกแบบหลากหลาย
เราไปดูกันครับว่าแบบไหนที่จะคุ้มค่ากับเรามากที่สุด
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากัน เหมือนกันจริงไหม
เรามาเริ่มกันที่ตัวอย่างพอเข้าใจง่ายกันครับ อย่างเงินกู้จำนวน
1,000,000 บาท ทำการผ่อนจ่ายตามงวดที่ขั้นต่ำที่งวดละ 7,000 บาท
โดยมีรูปแบบดอกเบี้ย 3 ปีแรกทั้งหมด 3 ตัวอย่างให้เราเลือก คือ
ดอกเบี้ยแบบที่ 1 : อัตราดอกเบี้ยที่ 3.5 ทั้ง 3 ปีเท่ากัน
ดอกเบี้ยแบบที่ 2 : อัตราดอกเบี้ยที่ 2.5, 3.5 และ 4.5 ตามลำดับ และ
ดอกเบี้ยแบบที่ 3 : อัตราดอกเบี้ยที่ 0.5, 4.5 และ 5.5 ตามลำดับ
โดยที่ค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 3 ปี ในทั้ง 3 แบบจะอยู่ที่ 3.5
เท่ากัน แต่ทว่า จำนวนดอกเบี้ยเรียกเก็บจริงเมื่อนำมาคำนวณแล้วกลับพบว่า
ยอดดอกเบี้ยทั้ง 3 ปี จำนวน 36 งวด ออกมาไม่เท่ากัน ดังตารางที่ 1
ที่นิวบ์ได้สรุปไว้ให้ในเบื้องต้นซึ่งพบว่า
แม้จะมีการผ่อนชำระทั้ง 36 งวดที่งวดละ 7,000 บาทเท่ากัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 252,000 บาทถ้วน แต่
ดอกเบี้ยแบบที่ 1 : อัตราดอกเบี้ยที่ 3.5 ทั้ง 3 ปีเท่ากัน หักเป็นดอกเบี้ยสูงถึง 97,222.51 บาท
ดอกเบี้ยแบบที่ 2 : อัตราดอกเบี้ยที่ 2.5, 3.5 และ 4.5 หักเป็นดอกเบี้ยที่ 95,441.31 บาท และ
ดอกเบี้ยแบบที่ 3 : อัตราดอกเบี้ยที่ 0.5, 4.5 และ 5.5 หักเป็นดอกเบี้ยรวมเพียง 92,686.51 บาท
แม้จะมีส่วนต่างเพียงไม่กี่พันบาท แต่ก็นับว่าตัวเลือกดอกเบี้ยแบบที่ 3
คิดดอกเบี้ยปีแรกในอัตราต่ำกว่า
ช่วยลดจำนวนเงินที่จะต้องชำระเป็นดอกเบี้ยลงไปได้มาก
ซึ่งไม่บ่อยนักที่ธนาคารจะอธิบายให้เราเข้าใจถึงความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยแต่ละแบบเมื่อเราขอสินเชื่อในการกู้เงินมาซื้อบ้านหรือคอนโดนั่นเองครับ
ทำไมดอกเบี้ยปีแรกๆ ยิ่งน้อยกว่ายิ่งดีกว่า
จากตารางแรกเช่นกันหากเมื่อเราจ่ายดอกเบี้ยถูกกว่า
แปลว่าในยอดผ่อนชำระเท่ากันเมื่อจ่ายเป็นดอกเบี้ยไปน้อย
ก็เท่ากับว่าเราหักเป็นเงินต้นชำระหนี้ไปเยอะกว่า
ก็จะส่งผลให้ยอดเงินต้นที่ค้างชำระลดลงเร็วกว่าและนำมาคิดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าเดิมนั่นเอง
ยิ่งเราชำระเงินต้นในปีแรกๆ ได้เยอะเท่าไหร่ ปีหลังๆ
จะเหลือยอดหนี้ที่จะนำมาคำนวณดอกเบี้ยได้น้อยลงยิ่งขึ้น
เนื่องจากการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะคิดแบบลดต้นลดดอกนั่นเองครับ
เรากลับมาดูการคำนวณจาก 3 ตัวอย่างเดิมกันครับ โดยจากตารางที่ 2
ซึ่งเทียบจำนวนผ่อนชำระในงวดแรกๆ กับงวดท้ายสุดในอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกทั้ง
36 งวด จะเห็นว่า ตัวเลือกดอกเบี้ยที่ปีแรกมีอัตราต่ำสุด
จะทให้หักดอกเบี้ยน้อยที่สุด
ทำให้ทบหนี้เงินต้นได้เยอะที่สุดและเหลือมาใช้คำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดๆ
ไปน้อยที่สุด ช่วยให้เราหมดหนี้ได้เร็วขึ้นนั้นเองครับ
จากตารางเมื่อเปรียบเทียบกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจะเห็นว่า
แม้ยอดผ่อนชำระสุทธิ 3 ปีทั้งหมด 36 งวด ด้วยอัตราดอกเบี้ยทั้ง 3
แบบจะอยู่ที่ 252,000 บาทเท่ากัน แต่ตัวเลือกดอกเบี้ยแบบที่ 3
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยปีแรกน้อยที่สุดที่ 0.5
ทำให้หักทบหนี้เงินต้นต่องวดได้เยอะกว่า
และคงเหลือเงินยอดเงินต้นค้างชำระในงวดที่ 36 น้อยที่สุดเพียง 845,745.18
บาท เทียบกับดอกเบี้ยแบบแรกที่ 3.5 เท่ากันทั้ง 3 ปี ซึ่งเหลือเงินต้นถึง
849.696.70 บาท นั่นเอง
อัตราดอกเบี้ยคงที่กับลอยตัวควรเลือกอันไหนดี
หลังจากการผ่อน 3 ปีแรกแล้ว ตั้งแต่ปีที่ 4
ธนาคารจะปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามที่ข้อสัญญาสินเชื่อ
ซึ่งมีทั้งแบบดอกเบี้ยคงที่ และดอกเบี้ยแบบลอยตัว
กำหนดตามเงื่อนไขการขอสินเชื่อที่เราเลือกตั้งแต่แรก
โดยจะเลือกแบบไหนนั้นสามารถพิจารณาในเบื้องต้นง่ายๆ
จากแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ว่ามีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงขาชึ้นหรือซบเซาลงครับ
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยมักมีการปรับขึ้นลงแบบแปรผันตามเศรษฐกิจดีหรือแย่
หากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจขาขึ้น
ควรเลือกเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกเบี้ยในสินเชื่อปรับขึ้นตามไปด้วย
เราจะได้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นครับ
หากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจขาลงซบเซา ก็จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง
จึงควรเลือกเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพื่อที่เราจะได้จ่ายดอกเบี้ยถูกลงนั่นเอง
โดยดอกเบี้ยแบบลอยตัวจะมีการคิดดอกเบี้ยตามอัตราอ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.bot.or.th/App/THOR
โดยส่วนใหญ่จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ประมาณ 5% – 7% ต่อปี
ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารครับ
ซึ่งในบางแห่งยังมีการเพิ่มหรือลดให้อีกแล้วแต่เงื่อนไข อย่างเช่น MRR +
1.00 % หรือ MLR – 0.75% เป็นต้น
ก็ช่วยให้ในบางปีเราอาจจะต้องถูกหักส่วนดอกเบี้ยจากยอดผ่อนชำระต่องวดที่แพงขึ้นหรือถูกลงครับ
ตัวเราเองไม่อาจคาดการณ์แนวโน้มของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคตว่าจะดีหรือแย่
และการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะผูกมัดสัญญาเกิน 10 ปีขึ้นไปด้วย
จึงยากที่จะคาดเดาว่าเศษฐกิจจะส่งผลให้ดอกเบี้ยปรับไปในทิศทางไหนนั่นเอง
ดังนั้นโดยส่วนมากผู้กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยจึงนิยมทำการยื่นขอรีไฟแนนซ์
(Refinance) ทุกๆ 3 ปี
เพื่อให้ยังได้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราโปsโมชั่นอยู่นั้นเองครับ
ตัวเลือกดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ
ที่แม้จะมีอัตราเฉลี่ยทั้ง 3 ปีเท่ากัน
แต่ท้ายที่สุดแล้วจ่ายจริงไม่เท่ากัน
และยิ่งดอกเบี้ยปีแรกถูกเราก็จะสามารถทบเงินต้นได้เร็วขึ้นและเหลือหนี้ให้คิดเป็นดอกเบี้ยได้น้อยลง
และบ่อยครั้งที่ทางธนาคารจะไม่ค่อยอธิบายเราให้เข้าใจอย่างละเอียดครับ
แหล่งที่มา :thaihitz.com, condonewb.com