พยาธิในช่องคลอด คืออะไร ทำไมถึงติดเชื้อได้ อีกหนึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อ แต่อยากให้รู้จักไว้ป้องกัน !
เพราะระบบสืบพันธุ์มีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นได้หลายโรค แต่เชื่อเถอะว่า หลายคนต้องไม่เคยได้ยินชื่อ "โรคพยาธิในช่องคลอด" มาก่อนแน่ ๆ ค่ะ แถมยังออกจะสงสัยว่าโรคนี้จะมีพยาธิเข้าไปอยู่ช่องคลอดจริง ๆ หรือ งั้นตามมาหาคำตอบด้วยกันเลย
โรคพยาธิในช่องคลอด คืออะไร ผู้ชายเป็นได้ไหม ?
บอกก่อนเลยว่า พยาธิในช่องคลอดที่ว่าไม่ใช่ตัวพยาธิที่เราเห็นคลานไปมาเหมือนกับพยาธิในลำไส้นะคะ แต่จริง ๆ แล้วโรคนี้จะเรียกกันว่า การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อ ทริโคโมแนส วาไจนอลลิส (Trichomonas vaginalis) โดยเชื้อนี้จะมีลักษณะคล้ายใบโพธิ์ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หากเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 10-14 วัน
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิงก็สามารถติดเชื้อทริโคโมแนส วาไจนอลลิส ได้
โดยหากติดเชื้อในเพศชาย เชื้อจะอาศัยอยู่บริเวณท่อปัสสาวะและต่อมลูกหมาก
แต่หากติดเชื้อในเพศหญิงซึ่งพบได้มากกว่า เชื้อจะอาศัยอยู่ในช่องคลอด
อวัยวะเพศ และท่อปัสสาวะ ดังนั้น เราจึงอาจเรียกว่า โรคพยาธิในช่องคลอด
หรือภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เชื้อชนิดนี้มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเม็ดเลือดขาว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เท่านั้น แตกต่างจากพยาธิชนิดต่าง ๆ ที่เรารู้จัก เช่น พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวตืด พวกนี้จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และแม้ว่าเชื้อนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็จะไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โรคพยาธิในช่องคลอด ติดต่อกันอย่างไร
โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นการติดต่อหลัก ๆ ก็มาจากการมีเพศสัมพันธ์นี่ล่ะค่ะ โดยจะตรวจพบเชื้อได้ในน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และน้่ำในช่องคลอด ดังนั้นกลุ่มที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงมากกว่าใคร
ส่วนการมีเพศสัมพันธ์แบบใช้มือหรือนิ้วช่วยยังคงไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้ติดเชื้อได้หรือไม่ แต่หากเป็นการกอด จูบ ไอ จาม ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน ใช้จาน ชาม ช้อนร่วมกัน หรือว่ายน้ำในสระเดียวกัน กรณีนี้จะไม่สามารถทำให้ติดเชื้อโรคพยาธิในช่องคลอดได้แน่นอน
โรคพยาธิในช่องคลอด อาการเป็นอย่างไร
มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าอาการอะไรที่บ่งบอกว่าเรากำลังป่วยด้วยโรคนี้ แต่จะบอกว่า โรคนี้ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติในผู้ที่ติดเชื้อทุกรายค่ะ หลายคนจึงไม่รู้ตัวว่ากำลังติดเชื้ออยู่ จึงแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ง่าย ๆ แต่อาจมีผู้ติดเชื้อราว ๆ 20-30% ที่มีอาการปรากฏอยู่บ้าง ก็คือ
- ผู้ชาย : โดยทั่วไปแล้วมักไม่แสดงอาการ แต่บางคนอาจจะรู้สึกระคายเคืองที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือมีอาการปัสสาวะแสบขัดอยู่บ้างจากภาวะท่อปัสสาวะอักเสบหรือต่อมลูกหมากอักเสบ บางคนอาจมีมูกใส ๆ ออกมาจากท่อปัสสาวะ รู้สึกปวดอัณฑะ หรือพบอาการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาต
- ผู้หญิง : มักจะแสดงอาการชัดเจน โดยอาการเด่น ๆ เลยก็คือตกขาวผิดปกติ เช่น มีตกขาวมากกว่าปกติ อาจมีสีเหลืองเขียว เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น เพราะเชื้อจะเข้าไปทำให้ช่องคลอดติดเชื้อและอักเสบ จึงมีการสะสมของเม็ดเลือดขาวมากขึ้น ทำให้สารคัดหลั่งออกจากช่องคลอดมีมากขึ้นตามไปด้วย ร่วมกับมีอาการคันช่องคลอด รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ เป็นผื่นแดงและเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ หรือรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดบวมแดง หากเป็นช่วงมีประจำเดือนอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้
โรคพยาธิในช่องคลอด อันตรายไหม ?
การติดเชื้อโปรโตซัวชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่อาการที่เป็นคงสร้างความรำคาญอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ เชื้อดังกล่าวจะไปทำให้อวัยวะเพศอักเสบ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ตามมาได้เหมือนกัน เช่น ติดเชื้อเอชไอวี หนองใน เริม ฯลฯ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังที่กล่าวมา อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไปค่ะ เพราะหากไม่รักษา เชื้อก็จะยังคงอยู่ในร่างกาย และแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นได้ด้วย
สำหรับในหญิงตั้งครรภ์ เชื้อดังกล่าวจะไม่ถ่ายทอดไปสู่ลูก เพียงแต่คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้น รวมทั้งเด็กที่คลอดออกมาอาจมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
โรคพยาธิในช่องคลอด รักษาได้อย่างไร
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะตรวจหาเชื้อปรสิตในสารคัดหลั่งที่ได้จากช่องคลอดหรือต่อมลูกหมาก แต่ในบางคนอาจเจอเชื้อนี้ในน้ำปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะสามารถรักษาได้ง่ายและหายขาด ด้วยการทานยาปฏิชีวนะเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือทินิดาโซล (Tinidazole) เพื่อลดการแพร่เชื้อ และไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหน็บใด ๆ แต่การใช้ยาปฏิชีวนะตัวนี้ในบางคนอาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้างค่ะ เช่น อาจจะรู้สึกปวดท้อง ปวดหัว เวียนหัว ปากแห้ง คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว และมีข้อควรระวังก็คือ ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยา ไปจนถึงหลังรับประทานยาเม็ดสุดท้ายหมดไปแล้วประมาณ 72 ชั่วโมง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรงจนเอาตัวยาออกไป
ทั้งนี้หากใช้ยารักษาไปแล้ว 2-3 วัน อาการจะค่อย ๆ เริ่มดีขึ้น สังเกตได้จากอาการตกขาวผิดปกติจะหายไป และไม่รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะแล้ว แต่หากอาการที่ว่ายังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินซ้ำอีกครั้ง ส่วนใครที่รักษาด้วยการทานยาจนหมดแล้ว ก็ควรมาตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าหายดีแล้ว จึงจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
แต่สำหรับหญิงมีครรภ์หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร แพทย์จะใช้ยาโคลไตรมาโซลสอดทางช่องคลอดรักษาแทน เพราะยาทานจะมีผลต่อทารกในครรภ์
โรคพยาธิในช่องคลอด ป้องกันอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ
โรคนี้แม้จะรักษาให้หายได้แล้วแต่ผู้ป่วยปรมาณ 1 ใน 5 ก็ยังมีโอกาสกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีก ดังนั้น ไม่วาจะเคยเป็นแล้วหรือไม่เคยเป็นก็ควรป้องกันตัวเองโดย..
- หากพบว่าติดเชื้อควรพาคู่นอนไปตรวจร่างกายด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ และอีกฝ่ายอาจไม่ปรากฏอาการว่าติดเชื้อแล้ว
- ทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และมารับการตรวจรักษาตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์แม้ว่าจะใส่ถุงยางอนามัย จนกว่าจะสิ้นสุดการรักษาไปแล้ว 7 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปแล้วจริง ๆ ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- เลิกพฤติกรรมมีคู่นอนหลายคน
- การงดมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรสวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคนี้ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ด้วย
- ดูแลร่างกายให้มีภูมิต้านทานแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
จริง ๆ แล้ว อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะเพศและระบบสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชาย อาจวินิจฉัยได้หลายโรคเลยนะคะ และมีหลายโรคที่อันตรายยิ่งกว่าภาวะช่องคลอดอักเสบหรือพยาธิในช่องคลอด ดังนั้น ถ้าเราสังเกตเห็นอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นก็อย่าเขินอาย ควรรีบไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่โรคจะลุกลามไปจนยากต่อการรักษา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
องค์กรชุมชนเอเชียต้านโรคเอดส์
เพราะระบบสืบพันธุ์มีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นได้หลายโรค แต่เชื่อเถอะว่า หลายคนต้องไม่เคยได้ยินชื่อ "โรคพยาธิในช่องคลอด" มาก่อนแน่ ๆ ค่ะ แถมยังออกจะสงสัยว่าโรคนี้จะมีพยาธิเข้าไปอยู่ช่องคลอดจริง ๆ หรือ งั้นตามมาหาคำตอบด้วยกันเลย
โรคพยาธิในช่องคลอด คืออะไร ผู้ชายเป็นได้ไหม ?
บอกก่อนเลยว่า พยาธิในช่องคลอดที่ว่าไม่ใช่ตัวพยาธิที่เราเห็นคลานไปมาเหมือนกับพยาธิในลำไส้นะคะ แต่จริง ๆ แล้วโรคนี้จะเรียกกันว่า การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อ ทริโคโมแนส วาไจนอลลิส (Trichomonas vaginalis) โดยเชื้อนี้จะมีลักษณะคล้ายใบโพธิ์ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หากเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 10-14 วัน
อย่างไรก็ตาม เชื้อชนิดนี้มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเม็ดเลือดขาว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เท่านั้น แตกต่างจากพยาธิชนิดต่าง ๆ ที่เรารู้จัก เช่น พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวตืด พวกนี้จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และแม้ว่าเชื้อนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็จะไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โรคพยาธิในช่องคลอด ติดต่อกันอย่างไร
โรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นการติดต่อหลัก ๆ ก็มาจากการมีเพศสัมพันธ์นี่ล่ะค่ะ โดยจะตรวจพบเชื้อได้ในน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และน้่ำในช่องคลอด ดังนั้นกลุ่มที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงมากกว่าใคร
ส่วนการมีเพศสัมพันธ์แบบใช้มือหรือนิ้วช่วยยังคงไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้ติดเชื้อได้หรือไม่ แต่หากเป็นการกอด จูบ ไอ จาม ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน ใช้จาน ชาม ช้อนร่วมกัน หรือว่ายน้ำในสระเดียวกัน กรณีนี้จะไม่สามารถทำให้ติดเชื้อโรคพยาธิในช่องคลอดได้แน่นอน
มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าอาการอะไรที่บ่งบอกว่าเรากำลังป่วยด้วยโรคนี้ แต่จะบอกว่า โรคนี้ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติในผู้ที่ติดเชื้อทุกรายค่ะ หลายคนจึงไม่รู้ตัวว่ากำลังติดเชื้ออยู่ จึงแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ง่าย ๆ แต่อาจมีผู้ติดเชื้อราว ๆ 20-30% ที่มีอาการปรากฏอยู่บ้าง ก็คือ
- ผู้ชาย : โดยทั่วไปแล้วมักไม่แสดงอาการ แต่บางคนอาจจะรู้สึกระคายเคืองที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือมีอาการปัสสาวะแสบขัดอยู่บ้างจากภาวะท่อปัสสาวะอักเสบหรือต่อมลูกหมากอักเสบ บางคนอาจมีมูกใส ๆ ออกมาจากท่อปัสสาวะ รู้สึกปวดอัณฑะ หรือพบอาการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาต
- ผู้หญิง : มักจะแสดงอาการชัดเจน โดยอาการเด่น ๆ เลยก็คือตกขาวผิดปกติ เช่น มีตกขาวมากกว่าปกติ อาจมีสีเหลืองเขียว เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น เพราะเชื้อจะเข้าไปทำให้ช่องคลอดติดเชื้อและอักเสบ จึงมีการสะสมของเม็ดเลือดขาวมากขึ้น ทำให้สารคัดหลั่งออกจากช่องคลอดมีมากขึ้นตามไปด้วย ร่วมกับมีอาการคันช่องคลอด รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ เป็นผื่นแดงและเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ หรือรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดบวมแดง หากเป็นช่วงมีประจำเดือนอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้
โรคพยาธิในช่องคลอด อันตรายไหม ?
การติดเชื้อโปรโตซัวชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่อาการที่เป็นคงสร้างความรำคาญอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ เชื้อดังกล่าวจะไปทำให้อวัยวะเพศอักเสบ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ตามมาได้เหมือนกัน เช่น ติดเชื้อเอชไอวี หนองใน เริม ฯลฯ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังที่กล่าวมา อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไปค่ะ เพราะหากไม่รักษา เชื้อก็จะยังคงอยู่ในร่างกาย และแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นได้ด้วย
สำหรับในหญิงตั้งครรภ์ เชื้อดังกล่าวจะไม่ถ่ายทอดไปสู่ลูก เพียงแต่คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้น รวมทั้งเด็กที่คลอดออกมาอาจมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะตรวจหาเชื้อปรสิตในสารคัดหลั่งที่ได้จากช่องคลอดหรือต่อมลูกหมาก แต่ในบางคนอาจเจอเชื้อนี้ในน้ำปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะสามารถรักษาได้ง่ายและหายขาด ด้วยการทานยาปฏิชีวนะเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือทินิดาโซล (Tinidazole) เพื่อลดการแพร่เชื้อ และไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหน็บใด ๆ แต่การใช้ยาปฏิชีวนะตัวนี้ในบางคนอาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้างค่ะ เช่น อาจจะรู้สึกปวดท้อง ปวดหัว เวียนหัว ปากแห้ง คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว และมีข้อควรระวังก็คือ ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยา ไปจนถึงหลังรับประทานยาเม็ดสุดท้ายหมดไปแล้วประมาณ 72 ชั่วโมง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรงจนเอาตัวยาออกไป
ทั้งนี้หากใช้ยารักษาไปแล้ว 2-3 วัน อาการจะค่อย ๆ เริ่มดีขึ้น สังเกตได้จากอาการตกขาวผิดปกติจะหายไป และไม่รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะแล้ว แต่หากอาการที่ว่ายังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินซ้ำอีกครั้ง ส่วนใครที่รักษาด้วยการทานยาจนหมดแล้ว ก็ควรมาตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าหายดีแล้ว จึงจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
แต่สำหรับหญิงมีครรภ์หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร แพทย์จะใช้ยาโคลไตรมาโซลสอดทางช่องคลอดรักษาแทน เพราะยาทานจะมีผลต่อทารกในครรภ์
โรคนี้แม้จะรักษาให้หายได้แล้วแต่ผู้ป่วยปรมาณ 1 ใน 5 ก็ยังมีโอกาสกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีก ดังนั้น ไม่วาจะเคยเป็นแล้วหรือไม่เคยเป็นก็ควรป้องกันตัวเองโดย..
- หากพบว่าติดเชื้อควรพาคู่นอนไปตรวจร่างกายด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ และอีกฝ่ายอาจไม่ปรากฏอาการว่าติดเชื้อแล้ว
- ทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และมารับการตรวจรักษาตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์แม้ว่าจะใส่ถุงยางอนามัย จนกว่าจะสิ้นสุดการรักษาไปแล้ว 7 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปแล้วจริง ๆ ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- เลิกพฤติกรรมมีคู่นอนหลายคน
- การงดมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรสวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคนี้ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ด้วย
- ดูแลร่างกายให้มีภูมิต้านทานแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
จริง ๆ แล้ว อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะเพศและระบบสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชาย อาจวินิจฉัยได้หลายโรคเลยนะคะ และมีหลายโรคที่อันตรายยิ่งกว่าภาวะช่องคลอดอักเสบหรือพยาธิในช่องคลอด ดังนั้น ถ้าเราสังเกตเห็นอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นก็อย่าเขินอาย ควรรีบไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่โรคจะลุกลามไปจนยากต่อการรักษา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
องค์กรชุมชนเอเชียต้านโรคเอดส์