Home »
Uncategories »
ตำนานเมืองที่มองไม่เห็น!! อาถรรพ์เมืองลับแล เข้าไปแล้วต้องรักษาสัจจะวาจา ใครประพฤติผิดก็ต้องออกไปจากเมือง!!
ตำนานเมืองที่มองไม่เห็น!! อาถรรพ์เมืองลับแล เข้าไปแล้วต้องรักษาสัจจะวาจา ใครประพฤติผิดก็ต้องออกไปจากเมือง!!
เรื่องลี้ลับเล่าขานของตำนานพื้นบ้าน
มีมาแต่อดีตเรื่องราวเก่าแก่ที่เล่ากันสืบทอดต่อกันมา “อำเภอลับแล หรือ
เมืองลับแล” เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์
เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2444
ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น
ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว
ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า
มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล
ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า
ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา
ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ
แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง
ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้
ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป
มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา
นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้
โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล
หญิงสาวก็ยินยอม
นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง
นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมี ศีลธรรม ถือวาจาสัตย์
ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป
ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด
แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง
ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย
มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม
ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน
วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่
บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า “แม่มาแล้วๆ”
มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ
เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง
ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์
นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย
แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี
พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า
ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้
ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ
และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด
ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม
บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน
ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด
รวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด
เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา
ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้
ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว
และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง
แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล
แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก
จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม