ทำงานแทบตาย! เงินไม่เหลือเก็บ กลับบ้านเลี้ยงเป็ดเงินเหลือเก็บเหลือใช้

เมื่อต้นเดือนที่แล้ว ผมได้รับเชิญให้ไปอัดรายการ เอ็นบีทีมีคำตอบ ที่ทีวี ช่อง 11 ที่ห้องอัดรายการผมได้พบกับ นายณัฐรท เซ็นนิล เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้รับเชิญมาอัดรายการเช่นกัน

ผมได้รับเชิญมาอัดรายการเกี่ยวกับคนเขียนหนังสือแล้วหันไปวาดรูป ส่วน นายณัฐรท เซ็นนิล ได้รับเชิญมาอัดรายการในฐานะคนเคยทำงานบริษัทอยู่กรุงเทพฯ แต่ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกรที่ต่างจังหวัด

หลังจากผมอัดรายการเรียบร้อยแล้วได้ถือโอกาสนั่งดูชายหนุ่มผู้ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกร

เมื่อผมได้ดูแล้วก็อดที่จะนำมาถ่ายทอดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าคิดมากสำหรับการประกอบอาชีพของคนไทยในสมัยนี้ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่

นายณัฐรท หรือ ที่มีชื่อเล่นว่า บูม ได้เล่าในรายการว่า เขาเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี ปัจจุบันอายุ 29 ปี ยังโสด เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

พอเรียนจบได้เข้าทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง มีหน้าที่ตัดต่อข่าวและโฆษณา ก่อนลาออกจากงานเพื่อกลับบ้านไปเป็นเกษตรกรอิสระได้รับเงินเดือน 23,000 บาท

เงินเดือนแค่นี้ กับการมีชีวิตอยู่กรุงเทพฯ ที่บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ แล้วยังต้องจ่ายค่าเดินทางอีก จึงไม่ค่อยพอใช้หลังจากบูมทำงานอยู่ได้ไม่กี่ปี จึงตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไปเริ่มต้นทำงานด้านเกษตร ด้วยการเลี้ยงเป็ด ไก่ และขุดบ่อเลี้ยงปลาเป็นหลัก

ที่บูมตัดสินใจเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนที่ทำอยู่ไม่พอใช้อย่างเดียว แต่มีใจรักงานด้านเกษตรมาก่อน โดยเฉพาะธรรมชาติ

เขาสารภาพว่า แค่ได้เห็นต้นไม้ ทุ่งนา และได้เลี้ยงสัตว์ก็มีความสุขแล้ว และที่เขากล้าตัดสินใจก็เพราะมีที่ดินมรดกอยู่แล้ว 4 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม ปากทางเข้าวัดเขาตะเกรา จังหวัดเพชรบุรี

ถึงจะเป็นที่ดินตาบอดแต่ขอทางออกจากเจ้าของที่ดินใกล้เคียงได้ เดิมทีที่แปลงนี้เคยเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งมาก่อน ตอนที่เขาบอกพ่อแม่ว่าจะกลับบ้านมาทำงานเกษตร ไม่มีใครเห็นด้วย มีแต่พี่ชายเท่านั้นที่เห็นด้วย

พี่ชายไม่ได้เห็นด้วยเฉยๆ ภายหลังเมื่อฟาร์มของเขาเป็นรูปเป็นร่าง พี่ชายยังตั้งชื่อฟาร์มให้ด้วยว่า ฟาร์มนี้พี่รัก ที่จริงไม่ได้เป็นฟาร์มที่พี่รัก เขาก็รัก เพราะบุกเบิกมาด้วยตนเอง

เริ่มต้นในการบุกเบิกฟาร์ม เขาจะไปกางเต็นท์นอน โดยขอน้ำขอไฟฟ้าจากบ้านข้างๆ ใช้เงินที่พอมีอยู่บ้างและหยิบยืมจากพ่อแม่มาจ้างให้คนเปลี่ยนสภาพจากที่เคยเป็นแค่บ่อเลี้ยงกุ้งให้เป็นบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ และยกร่องสวนปลูกมะพร้าวน้ำหอม

ลงมะพร้าวไปประมาณ 120 ต้น ตอนนี้ปลูกไปได้ปีหนึ่งแล้ว อีกไม่เกิน 3 ปี ก็จะได้ผล เขาใช้ที่ว่างระหว่างมะพร้าวเลี้ยงไก่และเลี้ยงเป็ด โดยทำเล้าง่ายๆ ให้พวกมันอยู่มีไก่อยู่ 80 กว่าตัว เป็ด 180 ตัว

สำหรับไก่ได้ปล่อยให้หากินอิสระ มันจะเดินไปไหนก็ได้ เป็นการเลี้ยงที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน ที่เรียกว่า ไก่อารมณ์ดี

ไก่อารมณ์ดีพอออกไข่ ไข่จะมีคุณค่าอาหารสูง เขาว่ากันอย่างนั้น แต่คนที่มาขอซื้อไข่จากเขาต้องการไข่สดๆ มากกว่าเหตุผลอื่น เพราะเขาเก็บไข่ขายวันต่อวัน หมายถึงทั้งไข่เป็ดด้วย

เนื่องจากยังผลิตไข่เป็ดและไข่ไก่ได้น้อยจึงขายได้หมดทุกวัน แรกๆ ก็เก็บไข่ไก่ไปขายเองที่ร้านอาหารตามสั่ง ส่วนไข่เป็ดจะไปขายที่ร้านทำขนม ต่อมา จะมีคนมาขอซื้อไข่ถึงฟาร์ม คนซื้อบอกว่าชอบไข่ที่นี่เพราะได้ของสด

“บางคนมาขอซื้อไข่ไก่เร็วเกินไป ไก่ยังออกไข่ไม่หมดทุกตัว จึงต้องรอให้มันเบ่งออกจากตูดจนครบ” เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ

แต่ก่อนที่จะมีไข่ไก่และไข่เป็ดขาย เขาต้องทดลองซื้อลูกเป็ดลูกไก่มาเลี้ยง ปรากฏว่าทั้งเป็ดและไก่พากันตายก่อนเป็นสาวหลายสิบตัว เขาจึงใช้วิธีเปลี่ยนเป็นซื้อไก่สาวและเป็ดสาวมาเลี้ยงแทน

รายได้หลักของเขาตอนนี้เดือนละเพียงหมื่นกว่าบาทเท่านั้น แต่ก็พออยู่ได้เพราะแทบไม่ได้ใช้อะไร เพราะนอกจากจะมีไข่ให้กินแล้วยังมีปลา มีผักให้กินด้วย

ปลาที่เขาเลี้ยงมีทั้งปลานิลและปลากะพง อยากกินก็จับมันขึ้นมาจากบ่อ ส่วนผักยกร่องปลูกเองหลายชนิด ปลูกไว้กินมากกว่าขาย

ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลาหรือเลี้ยงเป็ดไก่รวมทั้งห่านอีก 10 กว่าตัว เขาจะประหยัดค่าอาหารสัตว์ด้วยการไปตระเวนตักแหนมาให้พวกมันได้กิน บางวันก็จับกุ้งหอยปูปลาตัวเล็กๆ ในคลองซึ่งอยู่ใกล้ๆ มาให้พวกมันกิน

เขาหาอาหารให้สัตว์ที่เขาเลี้ยงทุกวัน วันละหลายกิโลโดยทำด้วยตนเองเพราะไม่มีลูกจ้างตั้งแต่เขาเริ่มต้นเป็นเกษตรกรมาจนถึงวันนี้ก็เกือบปีแล้ว ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย

จากที่เคยกางเต็นท์นอน ตอนนี้เขามีบ้านไม้แบบสำเร็จรูปหลังเล็กๆ อาศัย กลางคืนนอนหลับอย่างมีความสุขเพราะได้ยินเสียงกบเสียงเขียดร้อง หิ่งห้อยในบางฤดูก็มีให้เห็น

ลืมเล่าไปอีกอย่างหนึ่งก็คือรอบบ่อเลี้ยงปลา เขาปลูกกล้วยและมะละกอไว้จำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งหมายถึงว่า สามารถนำกล้วยมากินมาแกงได้ เพราะกล้วยทำอาหารได้ทั้งคาวหวาน

เขาบอกว่าการที่เขาเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเกษตรกรอย่างนี้ ไม่เหงา เพราะนอกจากมีไลน์ มีเฟซบุ๊กให้เล่นให้ติดต่อกับบุคคลภายนอกแล้ว ยังมีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมบ่อย

เพื่อนบางคนบอกว่าอยากกลับมามีชีวิตเหมือนเขาบ้าง ถึงแม้ตอนนี้เขายังมีรายได้ไม่มาก แต่อีกไม่กี่ปี เมื่อมะพร้าวออกผลก็จะมีรายได้มากขึ้นแน่ๆ เพราะมะพร้าวน้ำหอมราคาแพงเหลือเกิน อีกทั้งยังออกผลให้ได้ขายตลอดปีด้วย ถึงตอนนั้นเชื่อว่าเขาคงจะมีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องใช้เงินเป็นค่าครองชีพมากเหมือนอยู่กรุงเทพฯ

เขาตั้งเป้าหมายไว้ในอนาคตว่า ถ้าฟาร์มนี้พี่รักทุกอย่างลงตัว เขาจะเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มาศึกษา เพื่อจะมาใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนกับเขา

อย่างไรก็ตาม หากผู้อ่านและไม่ได้อ่านท่านใดที่อยู่กรุงเทพฯ สนใจอยากเปลี่ยนอาชีพเป็นแบบเขาบ้าง ก็ให้โทรศัพท์ไปปรึกษากับเขาได้ที่ (089) 785-0761 หรือจะสั่งซื้อไข่อารมณ์ดีของเขามากินก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่ประการใด

รูปภาพจาก : ณัฐรท เซ็นนิล