เผยวิธีทำความสะอาดคราบสกปรก บนฟูกภายใน 2 นาที ให้หมดเกลี้ยงเหมือนได้ใหม่!

เผยวิธีทำความสะอาดคราบสกปรก บนฟูกภายใน 2 นาที ให้หมดเกลี้ยงเหมือนได้ใหม่!

เผยเทคนิคดีๆที่เรานำมาแชร์ให้กับเพื่อนๆในวันนี้ เป็นวิธีการทำความสะอาดฟูก หรือเบาะรองนั่ง ที่เลอะคราบสกปรกต่างๆ ทั้งคราบชา กาแฟ ที่หกใส่ รวมไปถึงคราบประจำเดือนที่เลอะจะเช็ดไม่ออก ลองใช้วิธีนี้เลยค่ะ รับรองเหมือนได้ใหม่โดยเป็นเทคนิคของคุณ plakadas จากพันทิป ที่ได้แชร์ไว้ดังนี้
สวัสดีค่ะ วันนี้เราเอาผ้าปูที่นอนห้องรับแขกไปซัก เพราะจะมีเพื่อนมาค้าง ปรากฎว่าเจอคราบเลือดเป็นวงประมาณฝ่ามือ คล้ำและแห้งมาก (น่าจะนานแล้วหลายเดือนอยู่ค่ะ) ทีนี้เราก็เปิดอากู๋ว่ามีวิธีกำจัดมันอย่างไร ก็กะจะลองวิธีที่ง่ายสุดก่อน (เพราะเราขี้เกียจ) พระเอกของเราคือ “น้ำแข็งก้อน” หยิบจากตู้เย็น เอาไปถูวน ๆ บนคราบเลือด




วนๆไปเรื่อย ๆ พอชุ่มเอาผ้าเช็ด (แต่เราขี้เกียจซักผ้าค่ะ เลยเอาทิชชู่เปียก Baby Wipe) เราถูไปเรื่อย ๆ จางก็เอาทิชชู่เปียกซับ จนน้ำแข็งเหลือเท่านี้ก็สะอาดพอดี



วิธีการทำความสะอาดที่นอน (เพิ่มเติม)

1. ทำความสะอาดง่าย ๆ ได้ด้วยเครื่องดูดฝุ่น
หากใครที่ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดที่นอนมากนัก ขอแนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาด กำจัดคราบสกปรกและไรฝุ่นต่าง ๆ ให้หมดไป และที่สำคัญใน 1 สัปดาห์ควรถอดผ้าปูที่นอนไปซักด้วย ก็จะช่วยให้ที่นอนสะอาดมากยิ่งขึ้น

2. ดับกลิ่นทั่วไปด้วยเบกกิ้งโซดา
ปัญหาคราบเหงื่อหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ที่นอนมีกลิ่นเหม็นอับจะหมดไป เพียงแค่ผสมเบกกิ้งโซดากับกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่เราชอบให้เข้ากัน จากนั้นโรยไปบนที่นอนให้ทั่ว ใช้แปรงขัด ๆ ถู ๆ อย่างเบามือและเน้นตรงบริเวณที่มีคราบ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดเบกกิ้งโซดาออกให้หมด

3. กำจัดคราบเลือดบนที่นอน
หากมีคราบเลือดบนที่นอนไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาเคมีกำจัดออกให้ยุ่งยาก เพียงแค่ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวง น้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ และเกลืออีก 1 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปถูลงบนคราบเลือดและใช้ผ้าสีขาวซับออก สุดท้ายผสมน้ำเย็น 2 ถ้วยตวงผสมกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะแล้วคนให้เข้ากัน นำฟองน้ำมาชุบแล้วซับลงไปบนคราบและใช้ผ้าแห้งเช็ดออกอีกครั้ง รับรองว่าคราบเลือดที่ฝังแน่นก็หลุดออกอย่างง่ายดาย

4. ล้างคราบปัสสาวะอย่างหมดจด
บ้านไหนที่มีเด็กน้อยก็ต้องพบเจอปัญหานี้เป็นธรรมดา แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกำจัดออกได้ด้วยการผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ถ้วยตวง เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำยาล้างจานอีก 2 หยด จากนั้นป้ายลงไปบนคราบและรอจนแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำยาที่ผสมจากผงซักฟอก 3 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นค่อย ๆ ป้ายลงบนคราบและอย่าให้เปียก ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ใช้ผ้าซับคราบออกพร้อมใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดตามอีกรอบ

5. ทำความสะอาดคราบธรรมดาทั่ว ๆ ไป
แม้จะสำรวจแล้วว่าคราบสกปรกนั้นไม่ใช่คราบหนักอะไร แต่เราก็ต้องรีบทำความสะอาดก่อนที่คราบนั้นจะเกาะแน่นติดทนนาน ด้วยสูตรสบู่แห้งที่มีส่วนผสมดังนี้ ผสมน้ำยาล้างจาน ¼ ถ้วยตวง กับน้ำเปล่า 2-3 ช้อนชา ให้ได้เนื้อโฟมหนา ๆ จากนั้นป้ายเนื้อโฟมลงไปบนคราบเปื้อน ใช้แปรงขนนุ่มขัดคราบให้หลุดออก แล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนใช้ผ้าเช็ดส่วนผสมออก

6. กำจัดคราบและกลิ่นบุหรี่
ทั้งคราบขี้บุหรี่และกลิ่นควันบุหรี่อาจจะดูเป็นเรื่องยากในการกำจัด แต่ถ้าหากลองใช้สูตรนี้แล้วจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที ก่อนอื่นต้องรีบถอดผ้าปูที่นอนไปซัก จากนั้นผสมเบกกิ้งโซดา 1 ส่วนกับน้ำเย็น 2 ส่วนแล้วขัดลงบนคราบและทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ซับออกให้เกลี้ยง

7. กำจัดเหล่าเชื้อราและรอยด่างดำ
เริ่มจากยกที่นอนออกมาตากแดด แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดให้ทั่ว นำฟองน้ำไปชุบลงในส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์และน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จากนั้นซับลงไปบนที่นอนเน้นจุดที่เป็นคราบเชื้อรา เพื่อให้มั่นใจว่าเชื้อราตายสนิทแน่นอน

8. คราบเครื่องดื่มนานาชนิด
ไม่ว่าจะเป็นคราบกาแฟ น้ำผลไม้ หรือแม้กระทั่งน้ำนม ก็ไม่เกินความสามารถของแม่บ้านอย่างเรา ๆ แน่นอน แค่ใช้น้ำยาทำความสะอาดสูตรมะนาวหรือน้ำส้มสายชูเทลงในขวดสเปรย์ แล้วฉีดลงไปบนคราบเครื่องดื่มหรือจะใช้ผ้าสะอาด ๆ ชุบแอลกอฮอล์แล้วซับลงไปโดยตรงเลยก็ได้เลยค่ะ

9. คลุมที่นอนด้วยผ้าปูไวนิล
ไม่เพียงแต่วิธีทำความสะอาดที่เราต้องนำมาใช้นั้น ยังมีวิธีป้องกันที่นอนจากสิ่งสกปรกด้วยการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนแบบไวนิลมาสวมรองก่อนสวมปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอนจริงอีกต่างหาก เจ้าผ้าปูไวนิลนี้ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกสัมผัสเข้าถึงที่นอนและหมอนยังไงล่ะคะ

10. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อกำจัดฝุ่น
สาเหตุหลัก ๆ ของสิ่งสกปรกบนที่นอนนั้นมาจากสภาพอากาศชื้น ๆ และไรฝุ่นในห้องนอน ดังนั้นเราควรตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งสามารถช่วยลดความชื้นได้ถึง 30-50% เลยทีเดียว

ลองไปทำดูนะคะ วิธีอื่นยังไม่ทันได้ลองเลย ใครมีไอเดียมาเสนอได้นะคะ เผื่อคราวหน้าวิธีนี้ไม่ได้ผล


ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : plakadas , home.kapook