โทษของน้ำอัดลมจากที่เสี่ยงโรคเบาหวาน
มะเร็ง โรคอ้วน และโรคอัมพาต ตอนนี้นักวิจัยเผยว่าแค่ดื่มน้ำอัดลมวันละ 1
กระป๋อง ก็เสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้นได้อีก !
หลายคนรู้ทั้งรู้ว่าน้ำอัดลมไม่ได้ให้ประโยชน์กับสุขภาพสักเท่าไร แต่ใจก็ยังแพ้รสชาติหวานซ่าจากน้ำอัดลมที่ดื่มแล้วชื่นใจทุกที ยิ่งบางคนขอแค่ได้ดื่มสักวันละกระป๋องก็สบายใจ โดยที่หารู้ไม่ว่านั่นคือการพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวชัด ๆ ไม่เชื่อมาดูงานวิจัยกันเลย
โดยนักวิจัยชาวสวีเดนได้เก็บสถิติจากกลุ่มผู้ทดลองวัยกลางคนในช่วงอายุระหว่าง 45-79 ปี ราว 42,400 คน ต่อเนื่องยาวนานกว่า 12 ปี โดยที่กลุ่มผู้ทดลองเหล่านี้ก็รับประทานอาหารและเครื่องดื่มตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทว่าเรื่องมาแดงตรงที่ระหว่างการทดลอง มีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวหน้าใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 3,604 คน และมีเคสผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วถึง 509 คน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงก็ทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมบริโภคน้ำอัดลมทุกวัน
ทางทีมวิจัยจากสถาบันแคโรลินสกา ในสตอกโฮล์มจึงได้ข้อสรุปว่า พฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมวันละ 200 มิลลิลิตร อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำอัดลมหรือดื่มน้ำอัดลมน้อยมาก
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้การดื่มน้ำอัดลมทุกวันเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวก็เพราะว่า ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 7 ช้อนชาในน้ำอัดลม จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงความดันเลือดและส่งผลกระทบไปถึงการสูบฉีด รวมทั้งระบบภายในต่าง ๆ จนอาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติได้ อีกทั้งธรรมชาติของมนุษย์เมื่อได้บริโภครสหวาน ความอยากอาหารอื่น ๆ ก็จะลดลง นำมาซึ่งการบริโภคอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่แนวทางที่ดีต่อสุขภาพเลยจริง ๆ
อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยไม่ได้เหมารวมไปถึงการบริโภคน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟ ทว่าจุดสำคัญที่ทำให้น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้อยู่ที่สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลนั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ออกมาเตือนว่าการบริโภครสหวานจัดเกินไป (บริโภคน้ำตาลมากกว่า 7 ช้อนชาต่อวัน) โดยเฉพาะการบริโภคสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลจากเครื่องดื่มสำเร็จรูปเหล่านี้อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอัมพาต โรคอ้วน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจล้มเหลวในเวลาต่อมาได้
ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราไม่ควรบริโภครสหวานเกินไป รวมทั้งรสเค็มและรสมันก็ไม่ควรให้เกินพอดีด้วยนะคะ เท่านี้ก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mirror.co.uk, Dailymail.com, The Telegraph
หลายคนรู้ทั้งรู้ว่าน้ำอัดลมไม่ได้ให้ประโยชน์กับสุขภาพสักเท่าไร แต่ใจก็ยังแพ้รสชาติหวานซ่าจากน้ำอัดลมที่ดื่มแล้วชื่นใจทุกที ยิ่งบางคนขอแค่ได้ดื่มสักวันละกระป๋องก็สบายใจ โดยที่หารู้ไม่ว่านั่นคือการพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวชัด ๆ ไม่เชื่อมาดูงานวิจัยกันเลย
โดยนักวิจัยชาวสวีเดนได้เก็บสถิติจากกลุ่มผู้ทดลองวัยกลางคนในช่วงอายุระหว่าง 45-79 ปี ราว 42,400 คน ต่อเนื่องยาวนานกว่า 12 ปี โดยที่กลุ่มผู้ทดลองเหล่านี้ก็รับประทานอาหารและเครื่องดื่มตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทว่าเรื่องมาแดงตรงที่ระหว่างการทดลอง มีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวหน้าใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 3,604 คน และมีเคสผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วถึง 509 คน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงก็ทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมบริโภคน้ำอัดลมทุกวัน
ทางทีมวิจัยจากสถาบันแคโรลินสกา ในสตอกโฮล์มจึงได้ข้อสรุปว่า พฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมวันละ 200 มิลลิลิตร อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำอัดลมหรือดื่มน้ำอัดลมน้อยมาก
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้การดื่มน้ำอัดลมทุกวันเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวก็เพราะว่า ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 7 ช้อนชาในน้ำอัดลม จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงความดันเลือดและส่งผลกระทบไปถึงการสูบฉีด รวมทั้งระบบภายในต่าง ๆ จนอาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติได้ อีกทั้งธรรมชาติของมนุษย์เมื่อได้บริโภครสหวาน ความอยากอาหารอื่น ๆ ก็จะลดลง นำมาซึ่งการบริโภคอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่แนวทางที่ดีต่อสุขภาพเลยจริง ๆ
อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยไม่ได้เหมารวมไปถึงการบริโภคน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟ ทว่าจุดสำคัญที่ทำให้น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้อยู่ที่สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลนั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ออกมาเตือนว่าการบริโภครสหวานจัดเกินไป (บริโภคน้ำตาลมากกว่า 7 ช้อนชาต่อวัน) โดยเฉพาะการบริโภคสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลจากเครื่องดื่มสำเร็จรูปเหล่านี้อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอัมพาต โรคอ้วน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจล้มเหลวในเวลาต่อมาได้
ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราไม่ควรบริโภครสหวานเกินไป รวมทั้งรสเค็มและรสมันก็ไม่ควรให้เกินพอดีด้วยนะคะ เท่านี้ก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mirror.co.uk, Dailymail.com, The Telegraph