Home »
Uncategories »
อันตรายกว่าที่คิด!! อย่าปล่อยไว้เด็ดขาด “เหน็บชา-ตะคริว” สัญญาณเตือนจากภายใน
อันตรายกว่าที่คิด!! อย่าปล่อยไว้เด็ดขาด “เหน็บชา-ตะคริว” สัญญาณเตือนจากภายใน
หลายคนมีอาการ เหน็บชา หรือ เป็นตะคริว อยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะเกิดจากการที่ทับเส้นเลืoดจากการนั่ง การนอน
ทำให้เลืoดไหวเวียนได้ไม่ดี เกิดอาการเหน็บชาและตะคริว
ซึ่งนั่นเป็นเพียงสาเหตุเล็กๆ เพราะอาการเหน็บชา ตะคริวนั้น
เป็นสัญยาณเตือนจากระบบภายในร่างกาย ที่เราไม่ควรมองข้ามเลย
อาการที่ต้องระวัง
– แขนซ้ายปวด เมื่อย ชา : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
– เป็นตะคริวที่น่องเวลานอน : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับตับ
– ปวดหัวข้างเดียว : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับม้ามและกระเพาะอาหาร
– ไม่มีเสียง เสียงแหบ : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต
นอกจากไปพบแพทย์แล้ว เราสามารถเลือกทานอาหารและกดจุดเพื่อขับพิਖในร่างกาย
อาหารขับพิਖในไต
1. ฟัก
ฟักอุดมไปด้วยน้ำ หลังเข้าสู่ร่างกาย มันจะกระตุ้นไตให้ปัสสาวะมากขึ้น
เป็นการขับสารพิਖออกจากร่างกาย สามารถนำไปปรุงโดยการแกงจืดหรือผัดก็ได้
แต่พยายามให้รสเบาบาง
2. ฮวยซัว หรือ ห่วยซัว (Chinese yam)
แม้ว่าฮวยซัวจะช่วยบำรุงอวัยวะหลายๆส่วนได้ในเวลาเดียวกัน
แต่ก็ยังบำรุงไตมากที่สุด
การรับประทานฮวยซัวเป็นประจำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของไตในการขับพิਖ
การเอาไปเชื่อมเป็นวิธีการกินที่ดี
เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อต้านพิਖ
จุดล้างพิਖในไต : จุด Yongquan
เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในร่างกายมนุษย์ ถ้าสมมติว่าร่างกายเป็นตึกสูง
จุดนี้ก็คือท่อระบายน้ำเสียนั่นเอง
การนวดเบาๆที่จุดนี้เป็นประจำสามารถช่วยขับพิਖได้
ตำแหน่งของจุด Yongquan อยู่ที่ 1/3 ของฝ่าเท้าจากโคนนิ้วเท้า
(ไม่นับนิ้วเท้า) เป็นจุดที่เซนซิทีฟมากเวลานวดอย่าออกแรงเยอะ
นวดให้พอรู้สึกก็เพียงพอแล้ว
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกดนวดก็คือประมาณ 5 นาที
เวลาที่ไตขับพิਖได้ดีที่สุดคือ ตี 5 – 7 โมงเช้า
หลังจากร่างกายได้รับการพักผ่อนมาทั้งคืน
พอถึงตอนเช้าตรู่พิਖก็จะมารวมกันที่ไต
เพราะงั้นตอนเช้าตรู่ควรจะดื่มน้ำเปล่าสัก 1 แก้ว
เพื่อช่วยในการทำความสะอาดไต
ขับพิਖในตับ กินอาหารสีเขียว
กินอาหารสีเขียว : แพทย์แผนจีนเชื่อว่า
อาหารสีเขียวจะช่วยให้ตับทำงานดีขึ้น ลดความเหนื่อยล้า
และความเครียดทางอารมณ์ และยังช่วยตับขับพิਖด้วย
แพทย์แผนจีนแนะนำให้กินส้มหรือมะนาว
โดยการหั่นทั้งเปลือกเอามาทำเป็นน้ำแช่ส้มหรือมะนาวแล้วดื่มก็เพียงพอแล้ว
โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ช่วยเพิ่มความทนทานให้ตับ : นอกจากขับพิਖแล้ว
ก็ยังต้องเพิ่มความสามารถในการต่อต้านพิਖให้ตับด้วย
ซึ่งเก๋ากี้เป็นอาหารที่ได้รับการแนะนำ มันมีคุณสมบัติปกป้องตับ
และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทนต่อสารพิਖ
การรับประทานโดนการเคี้ยวเป็นเม็ดๆดีที่สุด โดยกินวันละกำมือเล็กๆ
จุดนวดเพื่อขับพิਖในตับ
จุด Taichong บนหลังเท้าวัดจากโคนนิ้วขึ้นมา 1-2 ข้อต่อนิ้วมือ
ใช้นิ้วหัวแม่มือนวด 3-5 นาทีจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อย่าออกแรงมากเกินไป
ทำสลับกันทั้ง 2 เท้า
น้ำตาช่วยขับพิਖ
เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่เคยร้องไห้ ผู้หญิงจะอายุยืนมากกว่า
แพทย์แผนจีนเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับน้ำตา
และในปัจจุบันก็ได้รับการยืนยันจากแพทย์แผนตะวันตก การหลั่งของน้ำตา เหงื่อ
ปัสสาวะ เป็นการบ่งบอกว่าร่างกายมีสารพิਖ เพราะงั้นเวลาเศร้า
หรือฟังเพลงซึ้งๆจะร้องไห้ออกมาบ้างก็ดีกับร่างกาย
ขับพิਖที่หัวใจ
1. กินอาหารขมๆ เพื่อขับพิਖ
ขอแนะนำเม็ดบัว ไส้จะมีรสชาติขม ช่วยดับร้อนในใจ
ถือว่าเป็นอาหารขับพิਖในใจที่ดีที่สุด สามารถเอามาชงเป็นชา
โดยชงพร้อมกับใบไผ่และปักคี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับพิਖ
2. นวดจุดขับพิਖหัวใจ
จุด shaofu อยู่บนฝ่ามือ โดยเมื่อกำมือจะอยู่ระหว่างปลายนิ้วนางกับนิ้วก้อย กดนวดบริเวณจุดนี้โดยไม่ต้องออกแรงเยอะ สลับทั้ง 2 ข้าง
3. กินถั่วเขียวช่วยขับพิਖออกทางปัสสาวะ
ถั่วเขียวช่วยขับความร้อนออกทางปัสสาวะ ขับสารพิਖออกจากหัวใจ
เวลากันต้องกินเม็ดถั่วเขียวจริงๆ เช่นถั่วเขียวต้มน้ำตาล
ไม่ใช่ถั่วเขียวที่เอามาบดทำขนมแล้ว
สามารถกินเป็นประจำเพื่อบำรุงหัวใจ ส่วนอาหารอย่างอื่นที่ช่วยในการขับพิਖก็มีเช่นฮกเหล็ง ถั่ว ถั่วเหลือง งาดำ พุทรา เม็ดบัวและอื่นๆ
เวลาขับพิਖของอวัยวะอื่นๆในร่างกาย
1. สามทุ่ม-ห้าทุ่ม เป็นเวลาการขับพิਖระบบภูมิคุ้มกัน (น้ำเหลือง) เวลานี้ควรจะสงบหรือฟังเพลง
2. ห้าทุ่ม-ตีหนึ่ง เป็นเวลาการขับพิਖของตับ ต้องนอนหลับให้สนิท
3. ตี 1 – ตี 3 เป็นเวลาการขับพิਖของถุงน้ำดี ต้องนอนหลับให้สนิท
4. ตี 3 – ตี 5 เป็นเวลาการขับพิਖของปอด เป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่มีอาการไอจะไอช่วงนี้หนักมากเพราะสารพิਖขับออกมาทางปอด
5. ตี 5 – 7 โมงเช้า เป็นเวลาการขับพิਖของลำไส้ใหญ่ ต้องขับถ่าย
6. 7 – 9 โมงเช้า เป็นเวลาที่ลำไส้เล็กดูดซับสารอาหารได้เป็นปริมาณมาก
ต้องรับประทานอาหารเช้า
คนที่กำลังรักษาร่างกายจากอาการเจ็บป่วยต้องรับประทานอาหารเช้า ตั้งแต่ก่อน
6 โมงครึ่ง คนทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพควรทานอาหารเช้าก่อน 7 โมงครึ่ง
ใครที่ไม่กินอาหารเช้าควรจะเปลี่ยนลักษณะนิสัยใหม่ เพราะแม้ว่าจะกินตอน
9-10 โมงก็ดีกว่าไม่กิน
แหล่งที่มา : eat543.com