Home »
Uncategories »
สิ่งที่ควรรู้ และลงมือทำ เมื่อถูกเลิกจ้างกะทันหัน
สิ่งที่ควรรู้ และลงมือทำ เมื่อถูกเลิกจ้างกะทันหัน
สิ่งที่ควรรู้ และลงมือทำ เมื่อถูกเลิกจ้างกะทันหัน
“การถูกเลิกจ้าง” หรือ “ภาวะตกงาน”
เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนหรือไม่ว่าจะใครคนไหนก็คงไม่อย า กเจอกับตัวเอง
แต่ใครจะไปรู้ว่าเราจะโชคไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่
หลายครั้งก็ไม่ใช่เพราะเราทำตัวไม่ดี แต่เป็นเพราะบริษัทไปต่อไม่ได้ก็มี
พี่ทุยว่าในบางครั้งอาจจะไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
อย่างที่ได้เห็นหลายต่อหลายข่าวที่มีการปลดพนักงานออกด้วยสภาวะเศรษฐกิจ
สังคมและการเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะอยู่ในหน่วยธุรกิจไหน
ก็ได้เลิกจ้างพนักงานตามนโยบายบริษัทหรือตามความจำเป็น ดังนั้น
มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็มีโอกาสที่จะถูกเลิกจ้างหรือตกงานได้อย่างกะทันหันโดยไม่ได้สมัครใจ
และแน่นอนที่สุดว่าจะทำให้เรานั้นสูญเสียรายได้ที่เคยมีไป
หลายคนเมื่อได้ยินข่าวแบ
บนี้แล้วก็ตกใจกันมากเลยใช่มั้ย บางคนก็วิตกกังวลไปว่าตัวเองจะตกงาน
พี่ทุยว่าแทนที่จะมานั่งເครียດหรือกังวล
เราน่าจะกลับมาใส่ใจตัวเองมากขึ้นและเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อถ้าหากว่าวันนึงเราดันโชคร้
า ยและหลีกเลี่ยงไม่ได้กับเ รื่ อ งนี้ที่จะเกิດขึ้นกับเรา
เพราะเราก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลย
ทางที่ดีพี่ทุยเราควรเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อนกับความ
เ สี่ ย ง ที่จะเกิດขึ้นดีที่สุด
เพราะแม้ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือให้ออกจากงานแต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีเหลือสิทธิในฐานะพนักงานหรือลูกจ้างซะทีเดียว
ซึ่งสิทธิที่เราควรจะได้ตามที่กฎหมายกำหนดในกรณีการให้ออกจากงานโดยไม่สมัครใจและไม่มีความผิด
มีตั้งแต่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันสุขภาพ หรือเงินค่าชดเชยต่าง
พี่ทุยอย า
กให้ทุกคนรับรู้และใส่ใจในส่วนนี้อย่างละเอียด
จะได้ไม่ต้องเสียรายได้ไปและเสียเปรียบทุกอย่างในเวลาเดียวกันนะ
พี่ทุยบอกเลยว่าไม่มีใครจะช่วยรั กษ
าสิทธิของเราได้ดีไปมากกว่าตัวเราเองแน่นอน ดังนั้น
จึงต้องรู้ว่าควรจะทำตัวยังไง
ต้องรู้ว่าตัวเองนั้นมีสิทธิอะไรและสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง
เพื่อที่จะสามารถรั กษ าสิทธิของตัวเองให้ได้มากที่สุด
เงินชดเชยจากนายจ้าง
มนุษย์เงินเดือนบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสิทธิที่จะเรียกร้อง
“ค่าชดเชยจากนายจ้าง” อันนี้เป็นสิทธิของเรานะ พี่ทุยบอกเลยว่า
“เงินค่าชดเชย” เป็นสิ่งที่นายจ้าง “ต้องจ่าย” ในกับพนักงานหรือลูกจ้าง
เพื่อช่วยเหลือในกรณีให้ออกจากงาน
ซึ่งไม่ได้มาจากทำความผิดของพนักงานหรือลูกจ้าง
แต่อาจจะด้วยเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง
นายจ้างจึงต้องจ่ายเงินค่าชดเชยเพื่อให้มีเงินใช้ในระหว่างที่ว่างงานลงหรือเป็นเงินทุนในการหางานใหม่ของพนักงาน
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
“เงินค่าตกใจ”
ในกรณีของการที่เรานั้นถูกเลิกจ้างโดยไม่บอกให้รู้ก่อนล่วงหน้า
หรือบอกล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน
นายจ้างนั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย
60 วัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงาน 60
วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน
อีกส่วนหนึ่ง คือ
“เงินค่าชดเชยการถูกเลิกจ้าง”
ในกรณีถูกให้ออกจากงานโดยที่ไม่มีความผิดและไม่ได้สมัครใจจะออก
ลูกจ้างมีสิทธิจะได้รับค่าชดเชยซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเดือนและอายุของการทำงาน
ยิ่งอยู่กับบริษัทมานานก็จะยิ่งได้ค่าชดเชยมาก
โดยนายจ้างต้องเป็นคนจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง
ซึ่งเป็นค่าชดเชยที่คำนวณจากอายุงานของลูกจ้างเอง ดังนี้
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 6 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 20 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน
กรณีทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน (เริ่มใช้ปี 2562)
(ข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน)
สิทธิประกันสังคม
นอกจากเงินชดเชยจากส่วนของนายจ้าง
มนุษย์เงินเดือนที่ว่างงานและจ่ายประกันสังคมจะได้รับเงินช่วยเหลือระหว่างการว่างงาน
ซึ่งพี่ทุยอย า กให้ลองตรวจสอบสิทธิที่คุณพึงได้รับจากสำนักงานประกันสังคม
อันนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทำงานเกือบทุกคน
และควรจะดูว่าตัวเองจะได้รับการคุ้มครองเ รื่ อ งค่ารั กษ าพย
าบาลไปจนถึงเมื่อไร ซึ่งปกติแล้วก็จะได้รับการคุ้มครองต่อไปอีก 6 เดือน
นอกจากนี้
พี่ทุยว่าเราควรไปขึ้นทะเบียนคนว่างงานภายในระยะเวลา 30 วัน
นับตั้งแต่ออกจากงานด้วย โดยสามารถไปยื่นเ รื่ อ
งที่สำนักงานจัดหางานได้ทุกแห่ง
เพราะตามเงื่อนไขของประกันสังคมแล้วคนที่จ่ายเงินสมทบติดต่อกันมาไม่ต่ำกว่า
6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงานจะสามารถขึ้นทะเบียนคนว่างงาน
และรับเงินชดเชยจากการถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยในจำนวน 50% ของรายได้
เป็นระยะเวลา 6 เดือนเลยนะ
เงินสำรองฉุกเฉิน
พี่ทุยเข้าใจนะว่าสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานมาหลายปี
หากวันใดวันหนึ่งต้องออกจากงานแบบกะทันหันคงต้องรู้สึกเคว้งคว้างและເครียດเป็นธรรมดา
เพราะอยู่ดีรายได้ก็หายวับไป ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่างเนี่ย
ไม่ได้หายไปด้วยนะ
ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าอาหารการกินต่าง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้น ดังนั้น
พี่ทุยว่าสิ่งที่ควรมีมากที่สุด นั่นคือ “เงินสำรองฉุกเฉิน”
สำหรับใครที่ยังไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินไว้สำหรับสำรองในการใช้จ่าย
ก็ควรเตรียมให้พร้อมนะ
อย่างที่พี่ทุยเคยบอกอย่าประมาทเพราะคิดว่าตัวเองมีการงานมั่นคงเป็นอันข า ด
เพราะเราไม่สามารถมั่นใจได้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง
แต่ถ้าเรามีการเตรียมพร้อมที่ดี
อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ พี่ทุยว่าเราควรมี “เงินสำรองฉุกเฉิน”
อย่างน้อยสัก 6 เดือนของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
เพื่อเราจะได้มีเงินสำรองเพื่อค่าใช้จ่าย
ในช่วงหางานใหม่หรือกลับมามีรายได้อีกครั้ง
เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรจะมีเงินสำรองฉุกเฉิน
แหล่งเก็บเงินทีดี่สำหรับเงินก้อนนี้กืคือ “บัญชีออมทรัพย์”
หรือเงินฝากพิเศษที่มีสภาพคล่องสูงเอาชนิดที่เรียกว่าถ้าเดือดร้อนไปถอนได้ทันที
นั่นเลยเป็นเหตุผลว่า
เงินสำรองฉุกเฉินไม่ควรมากจนเกินไปเช่นกัน
เพราะไม่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มหรือเพิ่มความมั่งคั่งให้กับเราเลย
ก็อย่างที่เรารู้กันอะเนอะว่าดอกเบี้ยเงินฝากไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่เลยช่วงนี้
พี่ทุยว่าการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอต่อการเปลี่ยนแปลง
ช่วยให้เราสามารถรับมือกับภาวะวิกฤต ถ้าหากต้องถูกเลิกจ้าง
หรือตกงานอย่างกะทันหันได้เป็นอย่างดีเลยนะ
พี่ทุยเข้าใจว่าต้องเจอกับความເครียດและความกดดันมาก ไหน
และหลังจากจัดการกับสิทธิของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
ก็เตรียมตัวหางานใหม่ได้เลย คนเก่งมีความสามารถไปที่ไหนยังไงเค้าก็รับ
จริงมั้ยล่ะ ?
ขอบคุณแหล่งที่มา moneybuffalo