Home »
Uncategories »
เริ่มแล้ว นิคมอุตสาหกรรม 2.3 พันไร่ โรงงานแห่งแรกใน ภาคอิสาน
เริ่มแล้ว นิคมอุตสาหกรรม 2.3 พันไร่ โรงงานแห่งแรกใน ภาคอิสาน
สวัสดีจ้าวันนี้เรามีเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ
“กลุ่มทุนไทย-ญี่ปุ่น” ที่ต้องรวมกันลงขัน 2,700 ล้านบาท
ซึ้งได้จัดตั้งมาเป็น 2.3 พันไร่ เเห่งเเรกเเละเเหง่เดียวใน จ.
อุบลราชธาณีนั้นเอง
หลังการลงทุนเเล้วนั้นได้มีเป้าหมายเเละตั้งเป้าหมายที่จะรอบรับทางเศรษกิจชายแดนนั้นเอง
เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรเราไปติดตามชมพร้อมกันเลยจ้า
เมื่อช่วงประมาณวันที่ 23 ก.ค. 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เเละในช่วงระหว่างประชุมนั้น
หนึ่งในโครงการสำคัญที่ภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐช่วยผลักดันเป็นโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่
ต.นากระแซง และ ต.ทุ่งเทิง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ขนาดพื้นที่ 2,300 ไร่
โดยการทำแบบนี้นั้นเพื่อสร้างฐานการผลิตเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
CLMV และเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับนานาชาติ
มีโครงการรถไฟทางคู่และท่าอากาศยานอุบลราชธานีที่สามารถเชื่อมโยงการค้าใน 4
ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน นั้นเอง
ตอนนี้นั้นได้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวถือว่ามีความคืบหน้าเป็นลำดับ
โดย บริษัท อุบลราชธานีอินดัสตรี้ จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินโครงการ
ได้ดึงพันธมิตรจากญี่ปุ่น 3 ราย ได้แก่ บริษัท ไคไก แอดไวซอรี่ จำกัด,
บริษัท เวลเนสไลฟ์โปรเจ็ค (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เอเชี่ยนไดนามิค
คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ร่วมจัดตั้งนิคมฯ โดยใช้งบในการลงทุนทั้งหมด 2,700
ล้านบาท นั้นเอง
ทางด้านนายณัฐวัฒน์ เลิศสุรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท
อุบลราชธานีอินดัสตรี้ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัทได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้นเป็นแห่งแรกใน จ.อุบลราชธานี ไปแล้ว
ตามแผนจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2565
นิคมฯ แห่งนี้นั้นใช้เงินลงทุนพัฒนาราว 2,700 ล้านบาท บนเนื้อที่ 2,300
ไร่
เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป, อุตสาหกรรมเทคโนชีวภาพ,
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวข้ามแดน, อุตสาหกรรมการบริการ,
อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ, อุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการเกษตร,
อุตสาหกรรมเครื่องมือและยานยนต์ที่ใช้ในการเกษตร เป็นต้น
โดยในขณะนี้นั้นได้อยู่ระหว่างการขอปรับเปลี่ยนผังเมืองการใช้ประโยชน์ที่ดินจากสีเขียวเป็นสีม่วงกับกรมโยธาธิการและผังเมือง
ควบคู่กับการจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)
และหลังจากนั้นจะยื่นเรื่องไปยังการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
เพื่อจัดตั้งเป็นนิคมร่วมดำเนินการต่อไป
นิคมฯ
ดังกล่าวยังจะเป็นฐานการเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกต
(กัมพูชา, สปป.ลาว และเวียดนาม) ที่นักลงทุน
จะสามารถกระจายสินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่ภูมิภาคอื่นได้อย่างสะดวก
เนื่องจาก จ.อุบลราชธานี นั้น
เป็นหนึ่งในจังหวัดเขตอีสานใต้ที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพ มีประชากรกว่า
1.8 ล้านคน และหากรวมกับจังหวัดในอีสานใต้จะมีประชากรกว่า 10 ล้านคน
“การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานีขึ้น นอกจากจะเป็นการยกระดับ
จ.อุบลราชธานี ให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องข้างต้นแล้ว นิคมฯ
แห่งนี้ยังมีบทบาทในฐานะเป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์อันทันสมัย
ที่พรั่งพร้อมไปด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์และแหล่งรวบรวมนวัตกรรมใหม่ ๆ
จากผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอีกด้วย”
ทางด้าน นายณัฐวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า
โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น การร่วมลงทุนโดยตรงจากบริษัทภายในและต่างประเทศ
จึงถือเป็นโครงการตัวอย่างในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แท้จริง
เพราะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น กระตุ้นการจ้างงาน
และรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
เชื่อว่าภายหลังการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานีขึ้นมา
จะกระตุ้นให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในเขตนี้ไม่ตํ่ากว่า
20,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการสร้างงานราว 20,000 อัตรา ได้ภายในปี 2565
นั้่นเอง
ขอบคุณที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,460 วันที่ 11-13 เมษายน 2562