Home »
Uncategories »
คุณแม่ทุกท่านโปรดอ่าน…อาหารอันตราย…ลูกกินแล้วโง่ พัฒนาการช้า
คุณแม่ทุกท่านโปรดอ่าน…อาหารอันตราย…ลูกกินแล้วโง่ พัฒนาการช้า
อาหารอันตราย…กินแล้วทำให้ลูกโง่และพัฒนาการช้า
1. ขนมหวานที่มีน้ำตาลในปริมาณมาก
การให้เด็กทานขนมหวานที่มีน้ำตาลในปริมาณมาก
นอกจากจะทำให้ลูกอ้วน มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว
น้ำตาลที่มีมากในขนมหวานยังมีส่วนทำลายสมองของลูกน้อยได้อีกด้วย
จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพบว่า หากเด็กได้รับน้ำตาลฟรุกโตสมากเกินไป อาจส่งผลต่อการหลั่งสารอินซูลิน ซึ่งจะทำให้สมองประมวลผลผิดพลาด ทำงานด้อยลง และส่งผลเสียต่ออารมณ์ของความคิดของเด็กได้
2. อาหารจานด่วน
อาหารจานด่วนประเภทจังก์ฟู้ด
หรือที่แปลเป็นภาษาไทยตรงตัวว่า อาหารขยะ หมายถึง
อาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ (Non-Nutritional Value)
มักมีสารอาหารไม่ครบถ้วน นอกจากนี้
อาหารจังก์ฟู้ดบางชนิดยังใส่สารกันบูดหรือมีเกลือ
ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษกับร่างกาย ทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจได้
ยิ่งถ้าเด็กในวัยกำลังเจริญเติบโต บริโภคอาหารประเภทจังก์ฟู้ดมากเกินไป เด็กก็จะได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาสมอง ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในระยะยาวได้ครับ
3. อาหารแช่แข็ง และอาหารกึ่งสำเร็จรูป
อาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารประเภทที่แค่นำออกมาจากช่องแข็ง
ก็นำมาอุ่นพร้อมรับประทานได้เลย รวมถึงอาหารกระป๋อง
เป็นอาหารที่ไม่ควรให้เด็กก่อนวัยเรียนได้ทานบ่อยๆ เพราะอาหารเหล่านี้
ต้องผ่านกระบวนการยืดอายุอาหาร เพื่อให้เก็บไว้ทานได้นานขึ้น
นอกจากจะมีสารเคมีแล้ว อาหารเหล่านี้ยังไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการ
หากให้ลูกทานมากๆ จะสะสมในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมขึ้นได้เมื่อลูกน้อยโตขึ้น
4. โปรตีนแปรรูป
เนื้อสัตว์
เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งจะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย
แต่ควรได้รับจากเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ ไม่ผ่านการแปรรูป
สำหรับเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป
เช่น ไส้กรอกบางชนิด หรือ แฮมบางชนิดที่เป็นโปรตีนแปรรูป
ซึ่งจะมีการผสมสารเคมีที่ใช้ในการแปรรูปอาหาร อย่างสารกันบูด และโซเดียมสูง
หากให้ลูกทานโปรตีนแปรรูปเหล่านี้บ่อยๆ จนสะสมในร่างกายมากๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ในการประมวลผลต่างๆ ทำให้การเรียนรู้ และการจดจำทำได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
5. ชาและกาแฟ
โดยส่วนมากแล้ว
มักจะไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน ให้ลูกวัยก่อนเข้าเรียน
ดื่มชาและกาแฟกันอยู่แล้ว
แต่สำหรับผู้ปกครองท่านใดที่คิดจะให้เด็กได้ลองดื่มชาและกาแฟ
คาเฟอีนในชาและกาแฟจะส่งผลให้ประสาทตื่นตัว นอนไม่หลับ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก อีกทั้งยังขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กในกระแสเลือด เพื่อส่งออกซิเจนไปยังสมอง สำหรับพัฒนาการทางสมองของเด็กอีกด้วยนะครับ
5 ปัจจัย ที่อาจจะส่งผลให้ลูกเป็นเด็กไม่ฉลาดหรือสมองไม่พัฒนา มีดังนี้
1.เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่
การที่ลูกได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง
5 หมู่นั้น นอกจากจะมีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของสมอง
ซึ่งนั่นคือการทำลายความฉลาดของเด็กโดยตรง
ยังส่งผลทำให้ร่างกายของเด็กอ่อนแอ ไม่เติบโตสมวัยอีกด้วย
2.สภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ
ไม่ว่าจะเป็นจากควันบุหรี่
ควันพิษท่อไอเสีย หรือสารปรอท สารตะกั่วจากโรงงาน
สารพิษเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำลายสมองเด็กแล้ว
ยังเป็นพิษต่อร่างกายของทั้งลูกและคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย
3.เด็กขาดการสัมผัสกับสังคม
เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยมีการพูดคุย
ซึ่งจะทำให้ลูกขาดพัฒนาการด้านภาษาและมนุษยสัมพันธ์
ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งที่สกัดกั้นความฉลาดของเด็กเพราะเด็กจะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้แลกเปลี่ยนนั่นเอง
4.เด็กขาดประสบการณ์เรียนรู้ที่ดี
เช่น
พ่อแม่ไม่มีเวลาพาลูกไปเปิดหูเปิดตา หาประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้นอกบ้าน
รวมทั้งไม่ส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้อื่นๆ เช่น กิจกรรมดนตรี กิจกรรมศิลปะ
หรือกิจกรรมกีฬา และการออกกำลังกาย
5.เด็กมีสุขภาพจิตไม่ดี
เนื่องมาจากขาดความรัก
ความเอ็นดู และความอบอุ่นจากครอบครัว หรือบางกรณี
อาจเกิดจากการเลี้ยงดูที่เข้มงวดมากจนเกินไป
และบังคับให้เด็กต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบหรือไม่ถนัด
ส่งผลให้ลูกเกิดความเครียด มีความวิตกกังวลสูง มองตัวเองในแง่ลบ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายความฉลาดของลูก
เพราะลูกที่อยู่ในอารมณ์โกรธ หรือซึมเศร้าเป็นเวลานานๆนั้น
สมองจะหลั่งสารคอร์ติซอล (Cortisol)
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ในการทำลายความเจริญเติบโตของสมองเด็ก
ทำให้การพัฒนาความฉลาดของลูกถูกยับยั้ง
อย่างไรก็ตาม
เชื่อว่าความฉลาดของลูกนั้น อยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสำคัญ
อย่าท้อแท้ที่วันนี้ลูกของเราอาจจะยังไม่เก่งหรือยังไม่ฉลาด
เพราะหากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเขาด้วยความรักและเอาใจใส่แล้ว
ความฉลาดของลูกก็จะพัฒนาขึ้นมาได้ในที่สุดครับ
แหล่งอ้างอิงจาก : th.theasianparent.com