เมื่อเร็วๆนี้มีคุณแม่คนหนึ่งได้โพสต์แชร์เรื่องราวประสบการณ์สยองขวัญของลูกชายของตน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ครอบครัวอื่นได้พึ่งระวังไว้
เธอโพสไว้ว่า ลูกชายของฉันตั้งแต่เล็กจนโตก็นอนในห้องแอร์ที่เย็นมาก เพราะพ่อของเขามักชอบเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่ 16 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นมาก ซ้ำยังต้องเปิดพัดลมเบอร์แรงที่สุดอีกด้วย ฉันพยายามเตือนสามีหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล จนฉันเองยังคิดกังวลในใจว่า “ไม่ช้าก็เร็วลูกชายจะต้องเผชิญกับโรคจมูกอักเสบแน่ๆเลย”
ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเป็นห่วงและพยายามปิดแอร์เมื่อสามีไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าสามีของฉันจะโกรธมากที่ทำแบบนี้
จนกระทั่งเมื่อลูกชายอายุได้ 9 ขวบ ฉันก็แอบไปซื้อประกันสุขภาพให้ลูกชายโดยที่ไม่ให้สามีทราบ เพราะถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงฉันก็จะได้เอาสิ่งนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่ฉันกังวลนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉันไม่ได้หวาดระแวงไปเอง
ไม่นานลูกชายก็มีอาการภูมิแพ้ที่จมูก น้ำมูกไหลเป็นประจำ หลังจากที่ลูกชายเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ อาการภูมิแพ้ที่จมูกก็ไม่ดีขึ้นกลับแย่ลง ทำให้หมอประจำที่รักษาลูกชายแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อให้อาการภูมิแพ้ที่จมูกจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงได้พยาบาลก็เอาภาพกระดูกอ่อนของจมูกลูกชายที่ผ่าออกมาให้ดู ฉันถึงกับใจสลาย และเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้การผ่าตัดที่ว่านี้เป็นแบบนี้นี่เอง หลังจากที่ลูกชายออกมาจากห้องผ่าตัด เลือดที่จมูกของลูกชายก็ไหลไม่หยุด จนพยาบาลต้องเปลี่ยนสำลีเป็นตลอด แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เลือดที่จมูกหยุดไหลเลย ทำให้คนเป็นแม่อย่างฉันใจจะขาด สงสารลูกมาก
ลูกชายไปอ้วกที่ห้องน้ำบ่อยมาก และยังขอให้ฉันไปช่วยด้วย เมื่อฉันเข้าไปเห็นก้อนเลือดในชักโครกก็ถึงกับเข่าอ่อน
ลูกชายกลับพูดว่า “ก้อนเลือดที่ใหญ่กว่านั้นเมื่อกี้ผมกดชักโครกลงไปแล้ว นี่แค่ก้อนเล็กๆนะแม่ ผมรู้ว่าแม่กลัวเลือด ผมจึงกดทิ้งไปก่อนรอบหนึ่ง”
“แม่ครับผมอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาลได้ไม่ต้องอยู่เฝ้าผมหรอก”
ฉันตอบกลับไปว่า “ลูกยังเจ็บมากไหม? อดทนหน่อยนะ”
ผ่านไป 3 วันลูกชายก็ไม่มีอาการอ้วกหรือบ่นว่าปวดอีก มีเพียงอาการข้างเคียงเช่น หูอื้อ,คัดจมูกบ้างเล็กน้อย คนเป็นแม่อย่างฉันก็ภาวนาให้ลูกชายหายไว้ๆ และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
จึงอยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ปกครองให้ใส่ใจสุขภาพของบุตรหลาน หากเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่ต่ำมากไปและเปิดพัดลมพร้อมกัน เพราะอาจจะเป็นเหมือนลูกชายของฉันได้!! โปรดใช้วิจารณาญในการอ่าน!!
ขอบคุณที่มาจาก : wechatpress.com