ชีวิตต้องพัฒนา! หนุ่มใหญ่ปิดบริษัท 20 ล้าน ผันตัวเป็นเกษตรกร พร้อมเปิดโรงเรียนสอนวิชาชีวิตให้ลูกชาย!!

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาชมเรื่องราวของสมาชิกพันทิปท่านหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า moobie เรื่องราวของเขานั้นมีความน่าสนใจมากคือ แรกเริ่มเดิมทีอล้วเขาเป็นคนเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. และทำงานเป็นเจ้าของบริษัทที่มีรายได้เข้ามาปีละกว่า 20 ล้าน แต่มีอยู่วันหนึ่งเขามีลูก เขาเลยมีความคิดที่จะฝึกลูกของเขานั้นให้สามารถอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข

เขาเลยตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างและทิ้งบริษัทที่ทำเงินให้เขา เพื่อที่จะออกมาทำไร่ทำสวนใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียงกับลูกและภรรยา เรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรนั้นว่าแล้วไปชมกันเลยค่ะ



ก่อนหน้านี้มีการ Post ไปแล้วรอบหนึ่งแต่โดนลบไปเนื่องจากเข้าข่ายการขายของ รอบนี้เลยมาแบ่งปันแต่แนวคิดและสิ่งที่ผมทำ

ก่อนอื่นผมแนะนำตัวสั่นๆว่าผมเองเปิดบริษัททำงานได้ IT เป็นงานให้บริการเป็นหลักนะครับ ผมทำมาตอนนี้ปีที่ 8 รวมกับทำงานบริษัทมาก่อน 3 ปี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมดคือ 11 ปี  ชีวิตผมก็เป็นโครตคนเมืองคนหนึ่ง คือได้ทุกอย่างที่อยากได้ มีรถหรูๆ บ้านหรูๆ คอนโดหรูๆ ของทุกอย่างที่อยากได้ผมได้หมด เวลาแฟนถามว่าวันเกิดอยากได้อะไรบอกได้เลยคิดไม่ออกเพราะทุกสิ่งที่อยากได้ผมได้มันเดียวนั้นมาตลอด



ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนที่ผมเริ่มมีลูกคนแรก ป้จจุบันอายุ 3 ปี 4 เดือน
ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปอีก 8 ปีที่แล้วตอนช่วงที่ผมเริ่มเปิดบริษัทใหม่ๆผมเองนั้นอยากมีครอบครัวและก็อยากมีความรู้ที่จะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วย ตัวเองจึงไปลงเรียน ป.โท คณะจิตวิทยา สาขา พัฒนาการ  ที่มหาลัยใจกลางกรุงแห่งหนึ่งซึ่งผมเองก็ได้ทั้งความรู้และแม่ของลูกมาด้วย ด้วยความรู้ที่ได้มาจากตอนไปเรียน รวมกับความรู้จากการฟังธรรม จากท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)  ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการทำงานและการใช้ชีวิตนั้น มันควรจะอยู่ในหลักสิขา



คือการเรียนรู้และพัฒนาชีวิต ถามว่าและการเรียนรู้กับการพัฒนาชีวิตคืออะไร คำตอบสั่นๆพอจะตอบได้ดังนี้คือ การทำให้ชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น และทุกข์ยากขึ้น สุขที่ง่ายขึ้นนั้นต้องพัฒนามาจากการที่มีความสุขจากการให้ ไม่ได้มีความสุขจากการเสพวัตถุ พอเข้าใจหลักการดังนี้ผมจึงเริ่มมองหาและเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ว่าเงินไม่ใช่จุดหมาย แต่เงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต พอผมมองว่าเงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต ผมจึงเริ่มรู้ว่าเงินนะพอแล้ว เริ่มเข้าสู่จุดหมายได้เลย

จุดหมายแรกมันก็มาจากการย่อยข้อมูลที่มีอยู่ในสังคมที่ผมได้มีโอกาสรับรู้จากสื่อต่างๆทำให้ผมตั้งเป้าว่าผมจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็น Self Sufficient Environment คือผมต้องอยู่ได้โดยใช้เงินน้อยที่สุดในเรื่องอาหาร ดังนั้นผมจึงต้องสร้างอาหาร ซึ่งเบื้องต้นก็คือการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้เนื้อนมไข่กิน



ผมเริ่มซ้อมปลูกข้าวที่บ้าน กทม. ในหมู่บ้านเลย (เพื่อนบ้านตอนแรกงงว่าผมทำอะไรผ่านไป 90 วันถึงรู้กัน )

ตรงนี้เองผมมองว่าถ้าผมทำแบบนี้ได้แล้วผมจะฝึกให้ลูกผมสามารถใช้ชีวิตอยู่รอดในธรรมชาติได้ โดยการอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการเปลี่ยนมาเป็นอาหารโดยเรามีหน้าที่จัดสรรปัจจัยให้พร้อม และถ้ามันไม่พร้อม เราก็พร้อมที่จะศึกษาว่าที่ไม่พร้อมนั้นเราขาดปัจจัยอันได  ผมอยากจะเน้นตรงนี้มากเพราะผมมองเรื่องนี้เป็นความมั่นคงในชีวิตเลยทีเดียว เพื่อนๆผมที่ กทม. มองว่าความมั่นคงคือการซื้อประกันให้ลูก ผมบอกได้เลยว่าถ้าอีก 3 ปีข้างหน้าลูกผมอายุ 6 ปี



ถ้ายังอยู่ กทม. เค้าจะอยู่ อนุบาล 3 และถ้าผมตายวันนั้นเงินทองที่มีให้ ประกันที่มีให้ เค้าก็คงใช้ได้อีกไม่กี่ปีก็หมด ถ้าอยู่ใน รร. แพงๆก็คงต้องลาออกมาเปลี่ยน รร. และก็ไม่รู้ว่าจะใช้เงินที่มีได้อีกนานแค่ไหน แต่ผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปีเงินที่สะสมมาไม่ว่ามากขนาดไหนก็หมด ถ้าเค้ายังจะเสพวัตถุเพื่อความสุขอยู่

ที่ผมมองต่างคือถ้าลูกผมอายุ 6 ขวบโดยอยู่ที่ไร่กับผมนั้น ถ้าผมตายไป ลูกผมจะสามารถไปปลูกผักกินต่อได้ เก็บไข่กิน ตกปลามากิน รีดนมแพะมากิน จะเห็นว่านี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตในมุมมองผม เค้าสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยเริ่มไม่ต้องพึ่งผมแล้ว คือผมใช้เวลาไม่มากฝึกลูกผมให้เค้ามีความสามารถในการให้ตัวเองพึ่งพาตัวเองได้



ขั้นที่สองที่ผมจะสอนลูกคือ ตอนนี้ใน รร. หรือ มหาลัยส่วนใหญ่นั้นจะสอนให้คนหาเงิน และเอาเงินมาซื้ออาหาร และการหาเงินนั้นก็ต้องหาจากในตึกใน Office คือเอาเวลาไปแลกเงินออกมา  เพื่อซื้ออาหาร ส่วนอาหารเองนั้นก็ขายกำไรกันมาหลายต่อ ตั้งแต่ที่ไร่ เดินทางมาที่ตลาด ร้านอาหารไปซื้อที่ตลาดอีกที และเอามาขายเราอีกรอบ จะเห็นว่ามันทำไมต้องแพงเพราะการเดินทางของอาหารนั้นไกลเหลือเกิน และถ้าจะถูกเพื่อแข่งขันกันได้ ก็จะได้ของไม่ดีมีสารเคมีเยอะ

สิ่งที่ผมมองต่างคือผมจะสอนให้ลูกเห็นว่าเงินมันอยู่ในดิน  อยู่ในน้ำ อยู่ในอากาศ เราเองต้องหาวิธีดูดเงินออกมาจาก ดิน น้ำ อากาศ ผมยกตัวอย่างแบบนี้



ถ้าผมเอาเมล็ดผักสลัดไปวางบนดินและรดน้ำ พอมันโตมาก็มีค่า 30 บาทใน กทม.  ปลาคร๊าฟผมไปซื้อมาตัวเล็กๆ 60 70 บาท เลี้ยงไป 1 ปีให้มันกินขี้ไก่ ก็จะขายได้ประมาณตัวละ 700 บาท  ต้นไม้ใหญ่ๆ ผมสามารถเก็บเมล็ดมาเพาะกล้า ต้นหนึ่งให้เมล็ดหลายร้อยเมล็ดมาเพาะกล้าใส่ถุงซัก 4 – 6 เดือนก็จะขายได้ต้นละ 20 บาท

เหมือนเงินมันอยู่ในดิน น้ำ อากาศจริงๆ เราเป็นเพียงผู้สังเกตุและจัดสรรเหตุปัจจัยให้เหมาะสมเพื่อดึงเงินออกมา  ตรงนี้ผมอาจจะต้องสอนเค้าเรื่องวิธีทำตลาด ผมเองงไม่ได้จะละทิ้งความทันสมัยขอโลกปัจจุบัน แต่ผมจะให้เค้ารู้และเข้าใจและใช้มันมาเกื้อกูลกับการใช้ชีวิตเพื่อให้ตัวเองพึ่งตนเองได้



และเมื่อผมสอนลูกได้ดังนี้แล้วผมเองก็จะเปิด รร. ซึ่งให้ลูกผมมาสอนเด็กๆอีกที จริงๆตอนนี้แอบคิดชื่อ รร. ไว้แล้วครับชื่อว่า พุทธิจริตสิขาลัย โดยจะเน้น 4 ขบวนท่าของทางพุทธคือ
พรหมวิหาร ๔
อิทธิบาท ๔
โยนิโสมนสิการ
อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุป โท



นี่แหละหลักสูตรผม อ๋อผมอาจจะลืมบอกว่า ผมทำ Home school กับลูกนะครับไม่ส่งลูกเข้า รร.
ต่อไปก็จะถึงในส่วนของการแบ่งปันและหารายได้เพื่อทำประโยชน์กับสังคมให้มากขึ้น คือผมจะเปิดสิ่งแวดล้อมของผมเพื่อให้ผู้ที่สนใจในการพัฒนามาฝึกฝนและกระจายความรู้นำไปพัฒนาต่อยอดและสร้างเครื่อข่ายต่อๆไป



และตอนนี้ผมก็ได้ทำฝันเล็กๆคือการเลี้ยงม้า ที่เด็กๆหลายๆคนอยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้เพราะพื้นที่ใน กทม. ไม่เอื้ออำนวย

สุดท้ายแล้วผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผมทำและสิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลงกับชีวิตนี้มันทำให้ผมเป็นคนที่สามารถให้แบ่งปันได้ง่ายเพราะ เพราะผักหรือไข่หรือนมนั้นมันสูบมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ความที่ผมรู้สึกเป็นเจ้าของมันก็น้อยลงและสามารถให้ฟรีๆกับคนอื่นได้เยอะๆ ไม่เหมือนใน กทม. ที่ทุกอย่างต้องเป็นการซื้อมาทั้งหมด การให้จึงจำกัดปริมาณและความถี่ด้วยตัวของมันเอง และลูกผมกับภรรยาผมก็เช่นกัน



ปล. ภรรยาผมกว่าจะเห็นด้วยกับผมก็ไม่ใช่ง่าย ผมเองพาเค้าไปคุยกับพี่ๆที่อยู่ใน กทม. และย้ายไปอยู่ในต่างจังหวัดหลายคนมากและส่งไปเรียนการปลูกผักอินทรีย์ ใช้เวลาเป็นปีกว่าเค้าจะเริ่มเห็นว่าในระยะยาวแบบนี้แหละคือสิ่งที่ดีกับชีวิต  และยอมย้ายตัวเองไปกันผม

ส่วนชีวิตที่บ้านใหม่ตอนนี้ก็สนุกมาก ฝึกเดินป่า ทั้งหมดนี้อยากให้พ่อแม่หลายๆคนที่มองเงินเป็นจุดหมาย ลองมองใหม่ให้เงินเป็นปัจจัยในการพัฒนาชีวิตเพื่อให้เรามีความสุขมากขึ้น



เพราะผมบอกได้เลยว่าการที่ผมปิดบริษัทและมาทำแบบนี้พ่อแม่ผม ญาติๆผมทุกคนไม่เห็นด้วยหมดเลย เสียดายแต่รายได้ที่ผมเคยได้ โดยไม่ฟังความรู้สึกผมบ้าง ผมได้เยอะก็จริง

แต่ผมบอกได้เลยว่าผมเหนื่อยกว่าหลายๆคนมาก ช่วงที่แฟนผมท้อง ผมกลับบ้านเกือบตีสองทุกวัน เพราะตอนนั้นงานรีบมาก ผมเองต้องทำที่ลูกค้าจนถึงตีหนึ่งตลอด



ทำบ้านดิน



เล่นน้ำหลังบ้าน



พอว่างก็ไปขอเก็บฟางจากชาวบ้าน



หมดแรง



เรียกได้ว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างจากคนเมืองที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะกลับเข้าสู่วิถีชนบทได้อยู่กินกับธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงนี่หละค่ะความสุขที่แท้จริงอยู่อย่างพออยู่พอกิน


ขอบคุณที่มาจาก : moobie