หลังจากอดีตพระเอกดัง ช่อง7 อย่าง“เอกรัตน์
สารสุข”ได้หันหลังจากวงการบันเทิงมาใช้ชีวิตกับครอบครัวเเละเขาก็ได้ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวของเขา
น้องตะมุตะมิเลยจะมาอัพเดทภาพปัจจุบันของเขาให้ทุกคนได้ดูกันว่าเขาได้เปลี่ยนไปเเค่ไหน…
เเต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพของ“เอกรัตน์
สารสุข”อดีตพระเอกมีหุ่นที่อ้วนต่างจากเเต่ก่อนเห็นครั้งเเรกจำเขาเเทบไม่ได้เลย…
ถึงเเม้เขาจะเลิกทำงานวงการบันเทิงเเต่เขาก็ยังคงคิดถึงเพื่อนที่เคยเเสดงละครด้วยกันเสมอ…
มาดูเรื่องราวของ “เอกรัตน์ สารสุข” อดีตพระเอกดัง
เอก เอกรัตน์ สารสุข จากนายแบบโฆษณาได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกของช่อง 7 งานนี้เชื่อว่าต้องมีแฟนละครจำพระเอกผิวเข้มรูปหล่อหน้าไทยคนนี้ได้อย่างแน่นอน เป็นเวลาเกือบ 11 ปีบนเส้นทางสายมายาเส้นนี้ เอกรัตน์ได้ฝากผลงานเอาไว้มากมายหลายเรื่อง และผลงานสร้างชื่อให้กับพระเอกคนนี้ก็คือเรื่อง ทัดดาวบุษยา และ เงาอโศก จากปี 2549 ที่เอกรัตน์ได้ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการบันเทิงมาจนถึงปี 2560 เป็นเวลา 11 ปีพอดิบพอดี น้องตะมุตะมิ จะพาแฟนๆ ไปรำลึกถึงวันวานและอัพเดตชีวิตของพระเอกคนนี้กัน ว่าปัจจุบัน อดีตพระเอกของเราคนนี้ทำอะไรอยู่
บทสัมภาษณ์ของ“เอกรัตน์ สารสุข”
“ตอนนั้นเริ่มจากการเป็นนายแบบก่อน อายุ 19 ปี ประมาณปี 2539 เริ่มเดินแฟชั่นโชว์และถ่ายแฟชั่น โดยมีพี่ก้อง ปิยะ เป็นคนแนะนำให้มาเดินแบบ กับพี่ก้องคือรู้จักกันมาก่อน และงานแรกที่ได้เดินแบบคือนายแบบที่จะเดินเค้าไม่มา พี่ก้องเลยเรียกให้ไปเดินแทน เดินมั่วมากตอนนั้น เพราะไม่ได้ซ้อมเลย โดนเรียกตัวไปแบบกะทันหัน ที่ตัดสินใจไป เพราะอยากจะลองทำดู ในเมื่อพี่ก้องโทรมาตาม ต้องเห็นอะไรในตัวเรา หลังเดินแบบเสร็จก็มาถ่ายแฟชั่นโชว์ แต่ยังไม่ได้ขึ้นปกนะ ยังอยู่ข้างใน แต่บนปกเป็นพระเอกดัง คนเลยได้ดูหนังสือเล่มนั้นเยอะ เค้าก็เห็นผมในหนังสือเล่มนั้น ก็เลยโดนเรียกไปแคสงานโฆษณา โฆษณาชิ้นแรกคือชาร์ป หลังจากนั้นก็เป็นคอฟฟี่เมต ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปแคสงานคอฟฟี่เมต เพราะตอนนั้นคอฟฟี่เมตมันดังมากและเค้าก็เลือกพรีเซนเตอร์ คิดว่าเค้าคงไม่เอาเราหรอก ยังไม่ได้เล่นละครเลย แต่พี่ก้องคะยั้นคะยอ ก็เลยไป สุดท้ายได้เล่นโฆษณาชิ้นนี้ และทำให้หลายคนเริ่มรู้จักพี่ และช่อง 7 ก็ติดต่อมา”
ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรที่ช่อง 7 เรียกตัวเข้าไป?
“ตอนนั้นตื่นเต้นมาก มีคนมาบอกว่า คุณแดง สุรางค์ ไม่ได้เรียกพบใครง่ายๆ นะ แต่ท่านอยากเจอพี่แสดงว่าท่านต้องเห็นอะไรในตัวผม พอได้เจอ คุณแดงก็ถามเลยว่าจะมาอยู่กับเค้ามั้ย ตอนแรกก็ลังเล แต่สุดท้ายก็อยากจะลองดู เลยเซ็นสัญญากับช่อง 7”
ละครเรื่องแรกในชีวิตคือเรื่องอะไร?
“ตอนนั้นได้เล่นละครเรื่องไม้ดัด ประกบกับน้องแอล จุฑาทิพย์ ซึ่งตอนนี้น้องแอลก็เลิกเล่นละครไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าเป็นละครที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนะสำหรับคนที่เล่นเรื่องแรก ตอนนั้นยังถ่ายเรื่องแรกไม่เสร็จเลยก็มีละครเรื่องที่ 2 เข้ามาคือเรื่องรัตนโกสินทร์ เล่นคู่กับ นิ้ง กุลสตรี สมัยก่อนจะถ่ายละครแบบ ถ่ายแล้วออนแอร์เลย ไม่ได้สต๊อกเอาไว้แบบนี้สมัยนั้นไม่ได้เรียนการแสดงด้วย ครั้งแรกที่ถ่ายละครถ่ายแล้วเทคอยู่ครึ่งวัน (ยิ้ม) แต่ก็ต้องสู้ คนให้โอกาสมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องทำ”
ในระหว่างที่ทำงานอาชีพนักแสดง ได้อะไรจากวงการนี้บ้าง?
“ความอดทนและวินัยในการทำงาน เป็นสิ่งที่วงการให้กับนักแสดงทุกคน ถ้าไม่ได้เข้าวงการบันเทิงอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ ชื่อเสียงเงินทองมันพูดยาก เพราะผมไม่ได้รับงานเหมือนคนอื่น งานอีเวนต์ก็ไม่รับ เกมโชว์ก็ไม่รับ ที่ไม่รับเพราะรู้สึกไม่ชอบ ยังคิดเป็นธุรกิจไม่เป็น และอีกอย่างผมร้องเพลงไม่เป็น มาร้องเพลงเป็นตอนที่เป็นทหาร ทำงานตรงประชาสัมพันธ์ เค้าฝึกให้ร้องเพลง ส่วนเกมโชว์ไม่ชอบเลยไม่รับ อาจจะเป็นพระเอกในยุคนั้นคนเดียวที่ไม่รับงานอีเวนต์ มีงานติดต่อเข้ามาก็ไม่รับ มานั่งคิดเสียใจว่าน่าจะลองทำ ที่ตอนนั้นไม่ทำ เพราะคิดอีกแบบ คิดตื้นๆ คิดแค่ว่าไม่อยากทำก็เลยไม่ทำ แต่จริงๆ น่าจะขวนขวาย”
อะไรทำให้ตัดสินใจหันหลังให้วงการ?
“ที่เลิกเล่นละคร เพราะสมัยก่อนผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความเป็นตัวเองสูง คิดอะไรด้านเดียว ไม่หลากหลาย ตอนนั้น อายุ 29 เล่นละครเรื่อง มาทาดอร์ ก็ประกาศว่าจะลาวงการตอนอายุ 32 เพราะผมรับไม่ได้ที่จะต้องอายุ 30 แล้วต้องมารับบทเป็นพ่อ คือยอมรับว่าตอนนั้นเรายังเด็กและคิดด้วยอัตตา ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้น เลิกเล่นดีกว่า และมันเหมือนบทมาถึงทางตัน ไม่มีบทแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เล่นแล้วพอถึงเวลาที่เรากำหนดไว้ ก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้ แล้วก็ออกมาทำอย่างอื่น แม้ผู้ใหญ่จะเสนอบทใหม่มาให้ แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะบทที่ได้มาไม่ได้เป็นพระเอก
ตอนนั้นก็ไม่ฟังคำทัดทานของใครด้วย เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ผมเป็นคนมีความเป็นตัวเองสูง มีจุดยืนแบบโง่ๆ การทำงานในวงการบันเทิงเมื่อถึงจุดนึงเราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเดินต่อไป กับอีกจุดนึงคือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเลิก เลิกแล้วมานั่งค้นหาตัวเอง พอถึงจุดนึงก็จะมานั่งคิดถึงงานในวงการบันเทิง อย่างผมตอนนี้ถ้าจะกลับไปทำงานมันต้องลดน้ำหนักก่อน เพราะอ้วนๆ อย่างนี้ไปทำไม่ได้หรอก ไปทำก็เสียชื่อเปล่าๆ มันไม่มีบทสำหรับคนอ้วนในเมืองไทย ตอนที่ออกมาจากวงการใหม่ๆ ก็ยังมีคนติดต่อมานะ แต่ผมก็บอกเค้าไปว่าไม่อยากจะทำลายสิ่งที่สร้างขึ้นมา อยากให้คนจดจำในมุมของพระเอก แต่เราลืมไปว่าในเมืองไทยไม่มีตำนาน คนค่อยๆ ลืมเราไปเพราะสุดท้ายมันก็แค่ชื่อเสียงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แรกๆ ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่หลงระเริงไปกับชื่อเสียงบ้าง แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มปรับตัวและอยู่กับมันได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองโด่งดัง หรือว่าเรียกเรตติ้งได้ เข้าใจมากขึ้นว่าการทำงานมันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน จะดังได้ก็ต้องมีนางเอกที่ร่วมแสดง ผู้กำกับ เพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ หรือว่าจะเป็นบทประพันธ์ หลายๆ อย่าง จะเอาตัวเราเป็นตัวเรียกเรตติ้งคนเดียวคงไม่ใช่หรอก”
เขาดูอ้วนขึ้นมากเลยสำหรับอดีตพระเอกดังช่อง7 หลังได้หันหลังให้วงการบันเทิงเขาก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ได้รักษาหุ่นเหมือนเเต่ก่อน น้องตะมุตะมิเห็นครั้งเเรกนึกว่าคนละคนกัน555+
เเต่ก่อน
หล่อมาก
มาดูเรื่องราวของ “เอกรัตน์ สารสุข” อดีตพระเอกดัง
เอก เอกรัตน์ สารสุข จากนายแบบโฆษณาได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกของช่อง 7 งานนี้เชื่อว่าต้องมีแฟนละครจำพระเอกผิวเข้มรูปหล่อหน้าไทยคนนี้ได้อย่างแน่นอน เป็นเวลาเกือบ 11 ปีบนเส้นทางสายมายาเส้นนี้ เอกรัตน์ได้ฝากผลงานเอาไว้มากมายหลายเรื่อง และผลงานสร้างชื่อให้กับพระเอกคนนี้ก็คือเรื่อง ทัดดาวบุษยา และ เงาอโศก จากปี 2549 ที่เอกรัตน์ได้ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการบันเทิงมาจนถึงปี 2560 เป็นเวลา 11 ปีพอดิบพอดี น้องตะมุตะมิ จะพาแฟนๆ ไปรำลึกถึงวันวานและอัพเดตชีวิตของพระเอกคนนี้กัน ว่าปัจจุบัน อดีตพระเอกของเราคนนี้ทำอะไรอยู่
บทสัมภาษณ์ของ“เอกรัตน์ สารสุข”
“ตอนนั้นเริ่มจากการเป็นนายแบบก่อน อายุ 19 ปี ประมาณปี 2539 เริ่มเดินแฟชั่นโชว์และถ่ายแฟชั่น โดยมีพี่ก้อง ปิยะ เป็นคนแนะนำให้มาเดินแบบ กับพี่ก้องคือรู้จักกันมาก่อน และงานแรกที่ได้เดินแบบคือนายแบบที่จะเดินเค้าไม่มา พี่ก้องเลยเรียกให้ไปเดินแทน เดินมั่วมากตอนนั้น เพราะไม่ได้ซ้อมเลย โดนเรียกตัวไปแบบกะทันหัน ที่ตัดสินใจไป เพราะอยากจะลองทำดู ในเมื่อพี่ก้องโทรมาตาม ต้องเห็นอะไรในตัวเรา หลังเดินแบบเสร็จก็มาถ่ายแฟชั่นโชว์ แต่ยังไม่ได้ขึ้นปกนะ ยังอยู่ข้างใน แต่บนปกเป็นพระเอกดัง คนเลยได้ดูหนังสือเล่มนั้นเยอะ เค้าก็เห็นผมในหนังสือเล่มนั้น ก็เลยโดนเรียกไปแคสงานโฆษณา โฆษณาชิ้นแรกคือชาร์ป หลังจากนั้นก็เป็นคอฟฟี่เมต ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปแคสงานคอฟฟี่เมต เพราะตอนนั้นคอฟฟี่เมตมันดังมากและเค้าก็เลือกพรีเซนเตอร์ คิดว่าเค้าคงไม่เอาเราหรอก ยังไม่ได้เล่นละครเลย แต่พี่ก้องคะยั้นคะยอ ก็เลยไป สุดท้ายได้เล่นโฆษณาชิ้นนี้ และทำให้หลายคนเริ่มรู้จักพี่ และช่อง 7 ก็ติดต่อมา”
ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรที่ช่อง 7 เรียกตัวเข้าไป?
“ตอนนั้นตื่นเต้นมาก มีคนมาบอกว่า คุณแดง สุรางค์ ไม่ได้เรียกพบใครง่ายๆ นะ แต่ท่านอยากเจอพี่แสดงว่าท่านต้องเห็นอะไรในตัวผม พอได้เจอ คุณแดงก็ถามเลยว่าจะมาอยู่กับเค้ามั้ย ตอนแรกก็ลังเล แต่สุดท้ายก็อยากจะลองดู เลยเซ็นสัญญากับช่อง 7”
ละครเรื่องแรกในชีวิตคือเรื่องอะไร?
“ตอนนั้นได้เล่นละครเรื่องไม้ดัด ประกบกับน้องแอล จุฑาทิพย์ ซึ่งตอนนี้น้องแอลก็เลิกเล่นละครไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าเป็นละครที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนะสำหรับคนที่เล่นเรื่องแรก ตอนนั้นยังถ่ายเรื่องแรกไม่เสร็จเลยก็มีละครเรื่องที่ 2 เข้ามาคือเรื่องรัตนโกสินทร์ เล่นคู่กับ นิ้ง กุลสตรี สมัยก่อนจะถ่ายละครแบบ ถ่ายแล้วออนแอร์เลย ไม่ได้สต๊อกเอาไว้แบบนี้สมัยนั้นไม่ได้เรียนการแสดงด้วย ครั้งแรกที่ถ่ายละครถ่ายแล้วเทคอยู่ครึ่งวัน (ยิ้ม) แต่ก็ต้องสู้ คนให้โอกาสมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องทำ”
ในระหว่างที่ทำงานอาชีพนักแสดง ได้อะไรจากวงการนี้บ้าง?
“ความอดทนและวินัยในการทำงาน เป็นสิ่งที่วงการให้กับนักแสดงทุกคน ถ้าไม่ได้เข้าวงการบันเทิงอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ ชื่อเสียงเงินทองมันพูดยาก เพราะผมไม่ได้รับงานเหมือนคนอื่น งานอีเวนต์ก็ไม่รับ เกมโชว์ก็ไม่รับ ที่ไม่รับเพราะรู้สึกไม่ชอบ ยังคิดเป็นธุรกิจไม่เป็น และอีกอย่างผมร้องเพลงไม่เป็น มาร้องเพลงเป็นตอนที่เป็นทหาร ทำงานตรงประชาสัมพันธ์ เค้าฝึกให้ร้องเพลง ส่วนเกมโชว์ไม่ชอบเลยไม่รับ อาจจะเป็นพระเอกในยุคนั้นคนเดียวที่ไม่รับงานอีเวนต์ มีงานติดต่อเข้ามาก็ไม่รับ มานั่งคิดเสียใจว่าน่าจะลองทำ ที่ตอนนั้นไม่ทำ เพราะคิดอีกแบบ คิดตื้นๆ คิดแค่ว่าไม่อยากทำก็เลยไม่ทำ แต่จริงๆ น่าจะขวนขวาย”
ไปเที่ยว
อะไรทำให้ตัดสินใจหันหลังให้วงการ?
“ที่เลิกเล่นละคร เพราะสมัยก่อนผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความเป็นตัวเองสูง คิดอะไรด้านเดียว ไม่หลากหลาย ตอนนั้น อายุ 29 เล่นละครเรื่อง มาทาดอร์ ก็ประกาศว่าจะลาวงการตอนอายุ 32 เพราะผมรับไม่ได้ที่จะต้องอายุ 30 แล้วต้องมารับบทเป็นพ่อ คือยอมรับว่าตอนนั้นเรายังเด็กและคิดด้วยอัตตา ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้น เลิกเล่นดีกว่า และมันเหมือนบทมาถึงทางตัน ไม่มีบทแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เล่นแล้วพอถึงเวลาที่เรากำหนดไว้ ก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้ แล้วก็ออกมาทำอย่างอื่น แม้ผู้ใหญ่จะเสนอบทใหม่มาให้ แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะบทที่ได้มาไม่ได้เป็นพระเอก
ตอนนั้นก็ไม่ฟังคำทัดทานของใครด้วย เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ผมเป็นคนมีความเป็นตัวเองสูง มีจุดยืนแบบโง่ๆ การทำงานในวงการบันเทิงเมื่อถึงจุดนึงเราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเดินต่อไป กับอีกจุดนึงคือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเลิก เลิกแล้วมานั่งค้นหาตัวเอง พอถึงจุดนึงก็จะมานั่งคิดถึงงานในวงการบันเทิง อย่างผมตอนนี้ถ้าจะกลับไปทำงานมันต้องลดน้ำหนักก่อน เพราะอ้วนๆ อย่างนี้ไปทำไม่ได้หรอก ไปทำก็เสียชื่อเปล่าๆ มันไม่มีบทสำหรับคนอ้วนในเมืองไทย ตอนที่ออกมาจากวงการใหม่ๆ ก็ยังมีคนติดต่อมานะ แต่ผมก็บอกเค้าไปว่าไม่อยากจะทำลายสิ่งที่สร้างขึ้นมา อยากให้คนจดจำในมุมของพระเอก แต่เราลืมไปว่าในเมืองไทยไม่มีตำนาน คนค่อยๆ ลืมเราไปเพราะสุดท้ายมันก็แค่ชื่อเสียงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แรกๆ ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่หลงระเริงไปกับชื่อเสียงบ้าง แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มปรับตัวและอยู่กับมันได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองโด่งดัง หรือว่าเรียกเรตติ้งได้ เข้าใจมากขึ้นว่าการทำงานมันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน จะดังได้ก็ต้องมีนางเอกที่ร่วมแสดง ผู้กำกับ เพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ หรือว่าจะเป็นบทประพันธ์ หลายๆ อย่าง จะเอาตัวเราเป็นตัวเรียกเรตติ้งคนเดียวคงไม่ใช่หรอก”
ไปวัด
ทำบุญ
เขาดูอ้วนขึ้นมากเลยสำหรับอดีตพระเอกดังช่อง7 หลังได้หันหลังให้วงการบันเทิงเขาก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ได้รักษาหุ่นเหมือนเเต่ก่อน น้องตะมุตะมิเห็นครั้งเเรกนึกว่าคนละคนกัน555+