Home »
Uncategories »
วิจัยชี้! “โรงเรียนดี” มีผลต่อการเรียนลูกไม่เท่าพ่อแม่ดี
วิจัยชี้! “โรงเรียนดี” มีผลต่อการเรียนลูกไม่เท่าพ่อแม่ดี
งานวิจัยพบ โรงเรียนดี ไม่เท่า “พ่อแม่ดี” ปฏิเสธไม่ได้ว่า
มีความเชื่อเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียนให้กับลูกอยู่ในหมู่พ่อแม่พอสมควร
นั่นก็คือ ความเชื่อที่ว่าการพยายามเฟ้นหาโรงเรียนที่ดี (มีชื่อเสียง
เป็นโรงเรียนเก่าแก่ มีอุปกรณ์ด้านการเรียนการสอนครบครัน มีครูที่เก่ง
มีโอกาสในการสอบเข้าสถาบันดังๆ สูง ฯลฯ)
นั้นอาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการันตีความสำเร็จในอนาคตของลูกๆ
แต่นั่นอาจไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะมีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า
การอบรมสั่งสอน เลี้ยงดูเด็กๆ อย่างดีจากพ่อแม่นั้น “สำคัญ”
กว่าการได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ เสียอีก
คำกล่าวดังกล่าวมาจากงานวิจัยของนักวิจัยแดนอินทรี ที่เผยว่า
การที่เด็กจะประสบความสำเร็จในการเรียนได้นั้น พ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างมาก
และพบว่า เด็กที่พ่อแม่คอยมีส่วนร่วมในการทำการบ้าน ให้กำลังใจ
กระตุ้นให้ลูกเห็นความสำคัญของการศึกษา รวมถึงเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
กับทางโรงเรียนนั้นมักจะเป็นเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง โดยการศึกษานี้จัดทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา
โดยเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของเด็กวัยทีนราว 10,585 คน
จากโรงเรียนมัธยมประมาณพันแห่งในรัฐต่างๆ นักวิจัยพบว่า
ครอบครัวที่มีการจำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ไม่เฉพาะแค่ทีวี
ปัจจุบันมีหน้าจอแสดงผลจำนวนมากที่มีความเกี่ยวพันต่อชีวิตประจำวันของเด็ก
เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเกม โทรศัพท์มือถือ
เครื่องเล่นเกมแบบพกพา แท็บเล็ต ฯลฯ)
นั้นมีผลดีต่อสุขภาพของเด็กอย่างเห็นได้ชัด ดร.Aric Sigma เผยว่า
โดยเฉลี่ยแล้ว ที่บ้านของเด็กอายุ 10 ปีจะมีเครื่องเล่นต่างๆ
ที่พร้อมจะดึงดูดความสนใจจากเด็กอย่างน้อย 5 ชิ้น
เปรียบได้กับพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์ที่พ่อแม่ส่งมาให้กับลูก
เพื่อให้พวกเขาไม่กวน หรือร้องโยเย แต่ยิ่งมีอุปกรณ์เหล่านั้นมากเท่าใด
ปัญหาสุขภาพของลูกก็พบได้มากเท่านั้น “เด็กในปัจจุบันมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน
เบาหวาน (ชนิดที่ 2) และโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น นอกจากนั้น
การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้โดยไม่บันยะบันยังยังส่งผลต่อสุขภาพจิต
และทักษะการเข้าสังคมของเด็กด้วย” ด้านนักวิจัยจากนอร์ธแคโรไลนา
ดร.Toby Parcel ก็ได้เปิดผลการสำรวจที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
โดยพบว่าการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ในการเรียนของเด็กก็มีความสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น การตรวจสอบการบ้านของลูกเป็นประจำทุกวัน
มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกเรียนในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ
อีกยังเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นกับลูกๆ ไม่เคยขาด ฯลฯ
เพราะการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้พ่อแม่ทราบความคืบหน้าในการศึกษาเล่าเรียนของลูกนั่นเอง ดร.Toby
ยังพบว่า เด็กที่ได้เรียนในโรงเรียนที่ดี มีสภาพแวดล้อมดีๆ
แต่พ่อแม่ไม่สนใจนั้น ยังทำคะแนนได้น้อยกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียนธรรมดา
(ชื่อชั้นด้อยกว่าโรงเรียนกลุ่มแรก) แต่พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเรียนของลูก
โดยอ้างอิงจากคะแนนของเด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่เรียนในโรงเรียนที่อาจจะไม่ได้มีคุณภาพมากเท่ากับโรงเรียนชั้นนำ
แต่เด็กกลุ่มนี้มีพ่อแม่ที่สนใจในการเรียนของลูก และพบว่า
พวกเขาสามารถทำคะแนนสอบได้สูงกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียนชั้นนำ
แต่พ่อแม่ไม่เอาใจใส่ในการเรียนเสียอีก (ผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ใน
the journal Research and Social Stratification and Mobility) ดร.Toby Parcel เจ้าของงานวิจัย เผยว่า “โรงเรียนและพ่อแม่ล้วนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเด็ก
แต่การมีส่วนร่วมของครอบครัวนั้นพบว่าสำคัญกว่า
และนำไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนได้มากกว่า” บางทีการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาอาจไม่ใช่การแก้ที่ระบบการเรียนการสอนแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนที่หลายคนเข้าใจ
แต่อาจต้องแก้ “ภาพรวม” ทั้งหมดในการจัดระบบการเรียนการสอนก็เป็นได้
และนั่นอาจต้องเริ่มให้คนเป็นพ่อแม่มีความเข้าใจ
และหันมาร่วมมือพัฒนาการศึกษาของลูกๆ ให้มากขึ้นนั่นเอง “การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า
พ่อแม่ควรตระหนักในความสำคัญของตนเองให้มากขึ้นว่าสามารถช่วยให้ผลการเรียนของลูกดีขึ้นได้
และควรทุ่มเทเวลาให้กับลูกๆ ด้วยการหมั่นตรวจสอบการบ้านของลูก
เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน และการอบรมให้ลูกทราบถึงความสำคัญของการศึกษา”
ดร.Toby กล่าวทิ้งท้าย เรียบเรียงจากเดลิเมล : manager.co.th ขอบคุณแหล่งที่มา : kruvoice