Home »
Uncategories »
หยุดฟุ้งซ่านง่ายๆ ด้วย 5 วิธีที่คนคิดมากควรอ่าน
หยุดฟุ้งซ่านง่ายๆ ด้วย 5 วิธีที่คนคิดมากควรอ่าน
หยุดฟุ้งซ่านง่ายๆ ด้วย 5 วิธีที่คนคิดมากควรอ่าน
“ความคิดฟุ้งซ่าน” ทำให้จิตและสมองเหนื่อยมาก
หลายคนบางทีไม่ได้ออกแรงแต่สงสัยว่า
ทำไมตัวเองเหนื่อยล้าเหลือเกิน
นั่นเพราะเรา คิดฟุ้งซ่าน นั่นเอง
ลองมาใช้วิธีเหล่านี้ฝึกให้ไม่ คิดฟุ้งซ่าน กัน
1.ตั้งใจฟัง
เนื่องจากในปัจจุบันมีสิ่งเร้าที่มีผลต่อโสตประสาทเพิ่มขึ้นมากเกินไป
มากเสียจนบทสนทนาที่มีสิ่งเร้าในปริมาณที่พอเหมาะพอดี
กลายเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกอ้างว้างราวกับอยู่บนฟ้า
บทสนทนาในการทำงานมีแรงกระตุ้นที่เพิ่มเข้าไปว่า
“เนื่องจากเป็นเรื่องงานจึงต้องฟัง” แต่เดิมการฟังเสียงคู่สนทนา
อย่างชัดเจนคงไม่ยากขนาดนั้น แต่เนื่องจากแรงกระตุ้นระดับนั้น
ยังไม่พอให้เราสนใจได้ใจจึงยังเลื่อนลอย สับสนวุ่นวายไป
ด้วยเสียงรบกวนของความคิดจำนวนมากที่ไม่จำเป็น
หากเงี่ยหูฟังเสียงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้าอย่างตั้งใจ
แล้วจะเข้าสู่โหมดฟังเสียงที่น่าเบื่อได้อย่างสนอกสนใจ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้อุบายตื้นๆ เช่น การหาข้ออ้างที่จะฟัง
เพราะเมื่อตั้งใจฟังคำพูดของคู่สนทนาแล้วก็จะเข้าใจเนื้อหาเอง
ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยของใคร หรือเสียงประชุม
หรือเสียงนกและเสียงลม “การฟัง” จะเป็นอิสระจากฉากเหล่านั้น
2.ลดการพูดเพ้อเจ้อ
ในบรรดาศีลที่เกี่ยวกับการพูดทั้งสี่ข้อ เมื่อเทียบกับข้ออื่น ๆ
ข้อที่เกี่ยวกับการ “เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ” คงเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
พูดเพ้อเจ้อ คือ พูดเรื่องไร้สาระไปเสียหมด ปากมาก คือ
การที่ถูกผลักดันด้วยความอยากจนพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป
ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเรื่องที่พูดก็ไม่ใช่สิ่งสวยงาม
นอกจากนี้ยังเป็นการกดดันผู้อื่น เพราะเป็นสภาวะที่พลังความอยาก
ที่ว่า “อยากให้ฟังเรื่องของตัวเอง” ได้ถูกปล่อยออกมา
การคุยโม้โอ้อวด การนำเรื่องที่ไม่รู้ก็ไม่ทุกข์มาร้อยเรียงกัน
มารยาทสังคมที่เกินพอดี ข่าวลือของคนอื่น
และเรื่องซุบซิบในวงการบันเทิง เป็นต้น นั่นแหละเป็นเรื่องไร้สาระ
เมื่อผู้ฟังถูกบ่มเพาะข้อมูลไร้สาระและจดจำไปแล้ว
คลื่นรบกวนความคิดจะเพิ่มขึ้น ส่วนผู้พูดเอง
การพูดเพ้อเจ้อก็ทำให้ความคิดไร้สาระทวีความรุนแรง
เพิ่มปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ความจุในหน่วยความจำถูกแย่งพื้นที่ไป
หากห้ามปากตนเองไม่ให้พูดเรื่องไร้สาระตามแรงสนับสนุน
ของความอยากได้ ก็จะนำไปสู่ความมีเกียรติ
มีศักดิ์ศรีอย่างมากและจะมีความประพฤติอันงดงาม
หากไม่ใช้พลังความโลภและความหลงในการพูดเรื่องไร้สาระ
เราคงสำรองพลังงานไว้ใช้กับเรื่องที่มีประโยชน์กว่าเรื่องอื่นได้
3.ลดการดูสิ่งที่มีการกระตุ้นรุนแรง
การไม่เห็นสิ่งที่กระตุ้นความโกรธ ไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ใจสับสนนั้นเป็นเรื่องที่ดี
ดังนั้นเราควรจะดูห้องที่สะอาดเรียบร้อย ไม่ค่อยมีของมากกว่าห้องที่รกรุงรัง
ดูทัศนียภาพของธรรมชาติที่เงียบสงบดีกว่าดูกลุ่มคนที่ไม่ดี
อีกทั้งไม่แนะนำให้ดูโทรทัศน์หรือภาพที่มีแรงกระตุ้นรุนแรง
หนังสยองขวัญนั้นห้ามแน่นอน ข่าวก็เช่นเดียวกัน
เนื่องจากภาพข่าวได้หยิบยกมาแต่เหตุการณ์ที่ผิดปกติ
และเรื่องราวในแง่ลบที่สะดุดตาสะดุดใจ ส่วนช่องวาไรตี้
หรือช่องตลกก็ออกแนวก้าวร้าว ทั้งทุบทั้งตีคนอื่น
ทั้งมองด้วยสายตาเลวร้าย ทั้งพูดเรื่องไม่ดี รวมทั้งหัวเราะเยาะคนอื่น
เรียกเสียงหัวเราะด้วยการแสดงความเห็นอย่างไม่สมจริง
ถ้ายังเสพข้อมูลเหล่านี้ต่อไปอย่างไร้สติจะส่งผลให้ใจสับสน
เพราะสติสัมปชัญญะตกลง ความเชื่อมโยงของข้อมูลก็ผิดเพี้ยนไป
จนมีแนวโน้มว่า “ความไม่รู้” จะเติบโตอย่างรุนแรงมากขึ้น
4.เขียนด้วยมือแทนการพิมพ์บ้าง
ระหว่างที่ใช้อินเทอร์เน็ตอันแสนสะดวก จะทำอย่างไร
จึงจะไม่ปล่อยให้กิเลสกลืนไป อันดับแรก
หากเขียนเว็บบล็อกหรือไดอะรี่ ในขั้นตอนการร่างต้นฉบับ
แนะนำให้ลองเขียนด้วยลายมือดู ให้รวบรวมแนวคิดเพื่อร่างต้นฉบับ
โดยไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา หลังจากได้ประเด็น
ขั้นต่ำตามที่ต้องการแล้วจึงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและพิมพ์
เนื่องจากเมื่อพิมพ์ตัวหนังสือด้วยคีย์บอร์ดแล้วจะพิมพ์ได้เร็ว
กว่าเขียนด้วยมือเป็นอย่างมาก จึงมีแนวโน้มที่จะต้องคิด
อย่างรวดเร็วด้วย ทำให้เขียน “เรื่องที่ตัวเองแค่อยากจะเขียน”
โดยไม่ได้คิดให้รอบคอบว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือไม่
อยากให้ใส่ใจ ใช้เวลาในการเขียนมากขึ้นอีกนิด
เพื่อให้ข้อมูลมีค่า คนอ่านมีความสุข เป็นงานเขียนที่มีคุณภาพสูง
5.เขียนไดอะรีให้ตัวเองอ่าน
ขอแนะนำวิธีการจัดการความคิดของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม
โดยให้ลองเขียนไดอะรี่สำหรับตัวเองอ่านคนเดียว
ปล่อยความรู้สึกของตัวเองออกมาตรง ๆ อย่างซื่อสัตย์
เช่น ไม่ใช่เขียนเพียง “วันนี้หงุดหงิด” แต่เขียนอย่างละเอียดว่า
“ประมาณ…โมง ด้วย สาเหตุ…ทำให้หงุดหงิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ประมาณ 1 ชั่วโมงเกิดเหตุการณ์…ขึ้น ทำให้ดีใจ”
ไม่ใช่เขียนความรู้สึกลงไปว่า “ร้านอย่างนั้น พังไปเสียได้ก็ดี”
แต่ให้เขียนว่า “ฉันหงุดหงิดว่าร้านแบบนั้นพังไปเสียได้ก็ดี”
การเขียนไม่ใช่การระบายอารมณ์โกรธออกไปทั้ง ๆ อย่างนั้น
แต่เป็นการบันทึกอารมณ์และสภาพที่มีอารมณ์โกรธของตนเอง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้วย้อนกลับมาอ่าน เราจะเข้าใจว่า
เมื่อหกเดือนหรือหนึ่งปีที่แล้วตัวเองมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร
วัตถุประสงค์ของการทำเช่นนี้เพื่อให้ดูความรู้สึก
ของตนเองได้และจะค่อย ๆ ควบคุมมันได้ง่ายขึ้น