นับจากราวเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเมษายน ของทุกปี
หากใครมีโอกาสเดินทางผ่านเข้าเมืองนครนายกจะพบเห็นไม้ผลลูกกลมสีเหลืองที่ร้อยเป็นพวงสวยงามแขวนไว้หน้าร้านตลอดสองข้างทาง
แล้วต้องบอกว่านั่นคือมะยงชิด
ชื่อมะยงชิดมักถูกเรียกคู่กับมะปราง จนเกิดคำถามว่าทั้งสองอย่างเป็นผลไม้พี่น้องกันหรือ แต่หลังจากสืบค้นจนทั่วแล้วพบว่าเป็นไม้ผลกลุ่มเดียวกัน ประวัติที่มาถูกเริ่มต้นจากมะปรางก่อน จากนั้นถูกนำมาปลูกหลายแห่งจนกลายพันธุ์เป็นมะยงชิด เพราะมีรสหวาน กรอบ ผลขนาดใหญ่ เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค
แต่กระนั้นมะปรางก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่รูปร่างลักษณะผลเหมือนกันกับมะยงชิด เพราะฉะนั้น ความสับสนเช่นนี้คงมีชาวบ้านที่ปลูกในพื้นที่เท่านั้นที่แยกออกด้วยการชิม และไม่ว่าอย่างไรผู้คนมักรู้จักผลไม้ลูกกลมสีเหลืองนี้ว่ามะปรางหวาน-มะยงชิด
ทั้งนี้ มะปรางหวาน-มะยงชิด เป็นไม้ผลพื้นเมืองที่น่าจับตามอง
เป็นที่ต้องการของตลาดสูง แถมมีราคาจำหน่ายค่อนข้างแพง
เนื่องจากมีข้อจำกัดที่ออกตามฤดูกาล และมีพื้นที่การปลูกค่อนข้างน้อย
ชาวนครนายกปลูกมะปรางหวาน-มะยงชิดกันมาเป็นเวลายาวนาน จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งมะปรางหวาน-มะยงชิดที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและไม่แพ้จังหวัดอื่น สร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนมากมายในช่วงฤดูกาลเพราะชาวสวนนครนายกมีการดูแลผลผลิต พัฒนาสายพันธุ์ให้มีรสชาติที่แตกต่าง ผลผลิตผลใหญ่ สีสันสดใส หวานกรอบ
“สวนสมเกียรติ การเกษตร” เป็นสวนมะปราง-มะยงชิดชีวภาพ ที่มีคุณภาพสวนหนึ่งของจังหวัดนครนายก สวนแห่งนี้ตั้งอยู่เลขที่ 85 หมู่ที่ 6 ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก มี คุณสมเกียรติ วังยายฉิม เป็นเจ้าของสวน
คุณสมเกียรติ ทำสวนผลไม้แบบผสมผสานเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่น ไม้ผลที่ปลูกไว้เป็นหลัก ได้แก่ ส้มโอ มะนาว ชมพู่ทับทิมจันท์ ทุเรียน หรือแม้แต่มะปราง-มะยงชิดที่มีพื้นที่ปลูกเกือบ 20 ไร่ และทำมานานกว่า 40 ปี อย่างไรก็ตาม สวนของคุณสมเกียรติไม่ได้ปลูกไม้ผลเพื่อรอผลผลิตออกขายตามฤดูกาล แต่เขายังได้ทำต้นพันธุ์ไม้ผลเหล่านั้นไว้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีมากอย่างน่าภูมิใจ
มะยงชิดที่คุณสมเกียรติปลูกไว้เป็นพันธุ์ทูลเกล้า ที่มีความเด่นตรงผลใหญ่ รสอร่อย หวานอมเปรี้ยว และมีผิวสวยน่ารับประทาน
สวนสมเกียรติปลูกมะปราง-มะยงชิดแบบระบบปิด ใช้ระยะปลูก 4 คูณ 4 เมตร และควบคุมการใช้ปุ๋ยเคมี โดยเน้นการบำรุงต้นด้วยปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยคอกเป็นหลัก โดยปุ๋ยชีวภาพ ผลิตจากปลาหมักกับจุลินทรีย์ (พด.1) แล้วนำไปราดบริเวณโคนต้น หรือจะผสมน้ำฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน จะช่วยทำให้ลำต้น ใบ และยอดแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยทำให้ได้ผลผลิตถึงปีละ 4 ครั้ง เฉลี่ยต้นละประมาณ 50 กิโลกรัม
สำหรับปุ๋ยคอกมีการใส่ขี้ไก่เป็นประจำทุกปี จำนวนขี้ไก่ที่ใส่ไม่เท่ากันโดยจะดูจากขนาดของต้นเป็นหลัก ถ้าเป็นต้นใหญ่จะใส่ต้นละ 5-6 กระสอบ (กระสอบละ 20 กิโลกรัม) ในทุกปี ช่วงประมาณเดือนกรกฎาคม เพราะจะช่วยในเรื่องการออกดอกในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม แล้วยังช่วยทำให้ได้ขนาดผลใหญ่ ถ้าหากไปใส่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่เป็นฤดูฝนแล้วผลจะเล็กกว่า
คุณสมเกียรติ ชี้ว่า ความจริงแล้วปุ๋ยคอกจะใส่กันก่อนเข้าฝนคือเดือนพฤษภาคม แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ในช่วงหนึ่งราคาขี้ไก่ถูกมาก คนขายไม่รู้จะทำอย่างไรเลยนำขี้ไก่มาแลกกับมะยงชิดที่ปลูก ครั้นจะเก็บไว้ก่อนก็จะเสียหาย เลยตัดสินใจนำใส่ต้นมะยงชิด ปรากฏว่าในปีนั้นผลมะปราง-มะยงชิดมีขนาดใหญ่มากกว่าทุกพื้นที่ ได้น้ำหนักถึงผลละกว่า 1 ขีด ยิ่งถ้าเป็นผลสีเขียวยิ่งมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดความสนใจของหลายคน
คุณสมเกียรติ บอกว่า การดูแลมะปราง มะยงชิดให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
ไม่ได้ยุ่งยากและไม่ต้องดูแลใกล้ชิดมาก เหมือนกับไม้ผลชนิดอื่นๆ
ส่วนเรื่องโรคและแมลง ที่เป็นศัตรูกับมะปราง มะยงชิด ก็มีไม่มาก
อาจมีบ้างในช่วงออกดอกที่มีเพลี้ยไฟเข้ามาทำลาย ดังนั้น
ภายหลังที่ดอกบานแล้วสัก 4 วัน จะฉีดพ่นยาฆ่าเพลี้ยไฟสัก 2 ครั้งเท่านั้น
ส่วนการให้ปุ๋ยและการให้น้ำก็ไม่ยุ่งยาก
เพียงแค่ให้สัมพันธ์กับทรงพุ่มเท่านั้นเอง
นอกจากจะเน้นขายผลผลิตของมะปราง-มะยงชิดแล้ว คุณสมเกียรติยังเพิ่มมูลค่าพันธุ์ไม้ของเขาด้วยการผลิตต้นพันธุ์จำหน่าย แล้วพุ่งเป้าไปที่ความสมบูรณ์ของต้น ด้วยการเน้นปุ๋ยชีวภาพเป็นหลัก ด้วยเทคนิคการทำกิ่งจะสลับทำ ต้นเว้นต้นในแต่ละปี ทำให้สามารถผลิตต้นพันธุ์คุณภาพได้จำนวนมากมาย พร้อมกับชี้ว่าต้นมะปราง-มะยงชิดที่สมบูรณ์และให้ผลผลิตได้ดีมีคุณภาพควรมาจากการขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง เนื่องจากถ้าเพาะเมล็ดแล้วมักกลายพันธุ์
การขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่งของคุณสมเกียรติจะเริ่มต้นจากการเพาะเมล็ด จนเกิดเป็นต้นอายุ 1 ปี แล้วถอนขึ้นมาล้างน้ำ นำมาชำในถุงพลาสติกขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ที่อัดด้วยขุยมะพร้าว จากนั้นปล่อยให้ต้นฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยนำไปขึ้นทาบ
หลังจากทาบได้ 25-30 วัน ให้สังเกตว่าหากกิ่งต้นตอที่ทาบไม่ตาย ต้องจัดการควั่นเพื่อตัดท่อลำเลียงอาหาร แต่ถ้ามียอดอ่อนที่กิ่งก็ให้รอจนกว่ายอดจะแก่จึงค่อยตัดลงมา ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงจะตัดได้ และหลังจากตัดลงมาก็ต้องเปลี่ยนถุงแล้วดูแลต่ออีก 3 เดือน เพื่อให้ต้นพันธุ์แข็งแรงพร้อมขาย
นอกจากนั้นยังบอกต่ออีกว่า มะยงชิดจะให้ผลผลิตได้ในปีไหนขึ้นอยู่กับขนาดกิ่งพันธุ์ที่ใช้ปลูก ถ้ากิ่งเล็กที่สูงสักเมตรจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ถ้าใหญ่กว่านั้นจะใช้เวลาสั้นมาก หรือแม้แต่ต้นโตที่ปลูกในตะกร้ายังสามารถออกผลได้อีกด้วย
ส่วนราคาขายต้นพันธุ์นั้น คุณสมเกียรติ บอกว่า เนื่องจากที่สวนผลิตกิ่งพันธุ์ด้วยคุณภาพ ดังนั้น จึงกำหนดราคาขาย ถ้าขนาด 90 เซนติเมตร ต้นละ 150 บาท, ขนาด 1-1.5 เมตร ต้นละ 200 บาท, ถ้าต้นในเข่งราคาอยู่ระหว่าง 3,000-5,000 บาท (ติดผลแล้ว)
สำหรับวิธีเก็บผลมะยงชิดนั้นดูเหมือนคุณสมเกียรติยังใช้แนวทางแบบดั้งเดิมคือการสุ่มชิมผลในแต่ละต้น ทั้งนี้เขาชี้ว่า ความไม่แน่นอนเรื่องสีผิวคงไม่สามารถบอกได้ว่ามะยงชิดสุกพร้อมเก็บได้รึยัง เนื่องจากบางปีผิวสีเขียวมีรสหวาน หรือบางปีผิวเหลืองก็ยังไม่หวาน ฉะนั้น ในแต่ละปีจึงต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ยิ่งถ้าอุณหภูมิสัก 20 องศา จะทำให้ออกดอกดีมาก หรือถ้าอากาศหนาวเย็นแล้วมีฝนตกตามมายิ่งทำให้ดอกดก แล้วปีนั้นจะมีผลผลิตมากตามมาด้วย
ผลผลิตมะปราง-มะยงชิดรุ่นแรกจะเริ่มประมาณเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นรุ่นต่อมาจะเริ่มแตกดอกออกผลตามมาเป็นระยะจนกว่าจะถึงเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ถึง 4 รุ่น กว่าจะวาย ทั้งนี้ ต้นที่มีขนาดใหญ่มากจะเก็บด้วยการใช้ไม้สอย หรือปีนต้นแล้วใช้กรรไกรตัดที่ขั้วกิ่งเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของผล
อย่างไรก็ตาม ผลมะปราง-มะยงชิดที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บขายจะต้องห่อผลเพื่อชะลอไม่ให้สุกเร็ว เป็นการดึงเวลาขายให้นานขึ้น อีกทั้งยังเพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้ามาทำลายผลด้วย ดังนั้น ผลที่ห่อจึงมีผิวเรียบสวยไร้รอยตำหนิ ทำให้สามารถขายได้ราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด
ราคามะยงชิดที่สวนสมเกียรติกำหนดไว้กิโลกรัมละ 350 บาท ซึ่งเป็นราคาขายหน้าสวน เขาชี้ว่าราคานี้อาจดูสูงเพราะเกิดจากการปลูกที่มีคุณภาพ เน้นความปลอดภัยต่อผู้บริโภค แล้วยังเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตเพียงปีละครั้ง ขณะเดียวกัน ผลผลิตมักไม่ค่อยได้นำไปขายที่แผงในตลาดเพราะหมดก่อน อีกทั้งขายในสวนเมื่อมีคณะมาเยี่ยมชมดูงานแล้วเลือกซื้อจากต้นเพราะได้ความสด ใหม่
“ถ้าในวันหยุดจะมีคณะต่างๆ เดินทางมาที่สวน มีทั้งแบบติดต่อมาล่วงหน้าหรือมาเองโดยไม่ได้นัด เพื่อเข้ามาเลือกซื้อมะยงชิดบนต้น จึงต้องหาแรงงานมาช่วยเพราะลูกค้ามีจำนวนมากจนที่จอดรถหาไม่ได้แน่นไปหมด บางรายกลัวไม่มีของจึงต้องโทรศัพท์มาสั่งจองล่วงหน้า 30-40 กิโลกรัม”
ในด้านตลาดต่างประเทศ คุณสมเกียรติมองว่า สามารถทำได้เช่นเดียวกับผลไม้อื่น เพียงแต่ควรมีการส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น และเป็นการปลูกด้วยคุณภาพ ทุกวันนี้เฉพาะขายตลาดภายในประเทศยังไม่ทัน อีกทั้งห้างใหญ่หลายแห่งแห่จองข้ามปี
“ผู้ที่สนใจที่จะทำสวนมะปราง มะยงชิด ไม่ต้องกังวลว่าไม้ชนิดนี้จะดูแลรักษายาก ให้มั่นใจได้ว่าเป็นไม้ผลที่มีอนาคต เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกปี หรือบางท่านสนใจปลูกติดบ้านก็ทำได้ดูแลง่ายกว่าปลูกมะม่วงด้วยซ้ำ
ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสอยากเชิญชวนมาที่สวนสมเกียรติเพื่อมาดูผลมะยงชิดและไม้ผลอื่นๆ พร้อมกับเลือกซื้อกิ่งพันธุ์แท้ที่ลงมือทำเอง โดยสอบถามเส้นทางได้ที่ โทร. (087) 138-4113, (080) 638-0773 หรือ www.somkeate.nayok.net” คุณสมเกียรติ กล่าว
ขอบคุณที่มาจาก : technologychaoban.com
ชื่อมะยงชิดมักถูกเรียกคู่กับมะปราง จนเกิดคำถามว่าทั้งสองอย่างเป็นผลไม้พี่น้องกันหรือ แต่หลังจากสืบค้นจนทั่วแล้วพบว่าเป็นไม้ผลกลุ่มเดียวกัน ประวัติที่มาถูกเริ่มต้นจากมะปรางก่อน จากนั้นถูกนำมาปลูกหลายแห่งจนกลายพันธุ์เป็นมะยงชิด เพราะมีรสหวาน กรอบ ผลขนาดใหญ่ เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค
แต่กระนั้นมะปรางก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่รูปร่างลักษณะผลเหมือนกันกับมะยงชิด เพราะฉะนั้น ความสับสนเช่นนี้คงมีชาวบ้านที่ปลูกในพื้นที่เท่านั้นที่แยกออกด้วยการชิม และไม่ว่าอย่างไรผู้คนมักรู้จักผลไม้ลูกกลมสีเหลืองนี้ว่ามะปรางหวาน-มะยงชิด
ชาวนครนายกปลูกมะปรางหวาน-มะยงชิดกันมาเป็นเวลายาวนาน จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งมะปรางหวาน-มะยงชิดที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและไม่แพ้จังหวัดอื่น สร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนมากมายในช่วงฤดูกาลเพราะชาวสวนนครนายกมีการดูแลผลผลิต พัฒนาสายพันธุ์ให้มีรสชาติที่แตกต่าง ผลผลิตผลใหญ่ สีสันสดใส หวานกรอบ
“สวนสมเกียรติ การเกษตร” เป็นสวนมะปราง-มะยงชิดชีวภาพ ที่มีคุณภาพสวนหนึ่งของจังหวัดนครนายก สวนแห่งนี้ตั้งอยู่เลขที่ 85 หมู่ที่ 6 ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก มี คุณสมเกียรติ วังยายฉิม เป็นเจ้าของสวน
คุณสมเกียรติ ทำสวนผลไม้แบบผสมผสานเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่น ไม้ผลที่ปลูกไว้เป็นหลัก ได้แก่ ส้มโอ มะนาว ชมพู่ทับทิมจันท์ ทุเรียน หรือแม้แต่มะปราง-มะยงชิดที่มีพื้นที่ปลูกเกือบ 20 ไร่ และทำมานานกว่า 40 ปี อย่างไรก็ตาม สวนของคุณสมเกียรติไม่ได้ปลูกไม้ผลเพื่อรอผลผลิตออกขายตามฤดูกาล แต่เขายังได้ทำต้นพันธุ์ไม้ผลเหล่านั้นไว้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีมากอย่างน่าภูมิใจ
สวนสมเกียรติปลูกมะปราง-มะยงชิดแบบระบบปิด ใช้ระยะปลูก 4 คูณ 4 เมตร และควบคุมการใช้ปุ๋ยเคมี โดยเน้นการบำรุงต้นด้วยปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยคอกเป็นหลัก โดยปุ๋ยชีวภาพ ผลิตจากปลาหมักกับจุลินทรีย์ (พด.1) แล้วนำไปราดบริเวณโคนต้น หรือจะผสมน้ำฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน จะช่วยทำให้ลำต้น ใบ และยอดแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยทำให้ได้ผลผลิตถึงปีละ 4 ครั้ง เฉลี่ยต้นละประมาณ 50 กิโลกรัม
สำหรับปุ๋ยคอกมีการใส่ขี้ไก่เป็นประจำทุกปี จำนวนขี้ไก่ที่ใส่ไม่เท่ากันโดยจะดูจากขนาดของต้นเป็นหลัก ถ้าเป็นต้นใหญ่จะใส่ต้นละ 5-6 กระสอบ (กระสอบละ 20 กิโลกรัม) ในทุกปี ช่วงประมาณเดือนกรกฎาคม เพราะจะช่วยในเรื่องการออกดอกในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม แล้วยังช่วยทำให้ได้ขนาดผลใหญ่ ถ้าหากไปใส่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่เป็นฤดูฝนแล้วผลจะเล็กกว่า
คุณสมเกียรติ ชี้ว่า ความจริงแล้วปุ๋ยคอกจะใส่กันก่อนเข้าฝนคือเดือนพฤษภาคม แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่ในช่วงหนึ่งราคาขี้ไก่ถูกมาก คนขายไม่รู้จะทำอย่างไรเลยนำขี้ไก่มาแลกกับมะยงชิดที่ปลูก ครั้นจะเก็บไว้ก่อนก็จะเสียหาย เลยตัดสินใจนำใส่ต้นมะยงชิด ปรากฏว่าในปีนั้นผลมะปราง-มะยงชิดมีขนาดใหญ่มากกว่าทุกพื้นที่ ได้น้ำหนักถึงผลละกว่า 1 ขีด ยิ่งถ้าเป็นผลสีเขียวยิ่งมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดความสนใจของหลายคน
นอกจากจะเน้นขายผลผลิตของมะปราง-มะยงชิดแล้ว คุณสมเกียรติยังเพิ่มมูลค่าพันธุ์ไม้ของเขาด้วยการผลิตต้นพันธุ์จำหน่าย แล้วพุ่งเป้าไปที่ความสมบูรณ์ของต้น ด้วยการเน้นปุ๋ยชีวภาพเป็นหลัก ด้วยเทคนิคการทำกิ่งจะสลับทำ ต้นเว้นต้นในแต่ละปี ทำให้สามารถผลิตต้นพันธุ์คุณภาพได้จำนวนมากมาย พร้อมกับชี้ว่าต้นมะปราง-มะยงชิดที่สมบูรณ์และให้ผลผลิตได้ดีมีคุณภาพควรมาจากการขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง เนื่องจากถ้าเพาะเมล็ดแล้วมักกลายพันธุ์
การขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่งของคุณสมเกียรติจะเริ่มต้นจากการเพาะเมล็ด จนเกิดเป็นต้นอายุ 1 ปี แล้วถอนขึ้นมาล้างน้ำ นำมาชำในถุงพลาสติกขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ที่อัดด้วยขุยมะพร้าว จากนั้นปล่อยให้ต้นฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยนำไปขึ้นทาบ
หลังจากทาบได้ 25-30 วัน ให้สังเกตว่าหากกิ่งต้นตอที่ทาบไม่ตาย ต้องจัดการควั่นเพื่อตัดท่อลำเลียงอาหาร แต่ถ้ามียอดอ่อนที่กิ่งก็ให้รอจนกว่ายอดจะแก่จึงค่อยตัดลงมา ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงจะตัดได้ และหลังจากตัดลงมาก็ต้องเปลี่ยนถุงแล้วดูแลต่ออีก 3 เดือน เพื่อให้ต้นพันธุ์แข็งแรงพร้อมขาย
นอกจากนั้นยังบอกต่ออีกว่า มะยงชิดจะให้ผลผลิตได้ในปีไหนขึ้นอยู่กับขนาดกิ่งพันธุ์ที่ใช้ปลูก ถ้ากิ่งเล็กที่สูงสักเมตรจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ถ้าใหญ่กว่านั้นจะใช้เวลาสั้นมาก หรือแม้แต่ต้นโตที่ปลูกในตะกร้ายังสามารถออกผลได้อีกด้วย
ส่วนราคาขายต้นพันธุ์นั้น คุณสมเกียรติ บอกว่า เนื่องจากที่สวนผลิตกิ่งพันธุ์ด้วยคุณภาพ ดังนั้น จึงกำหนดราคาขาย ถ้าขนาด 90 เซนติเมตร ต้นละ 150 บาท, ขนาด 1-1.5 เมตร ต้นละ 200 บาท, ถ้าต้นในเข่งราคาอยู่ระหว่าง 3,000-5,000 บาท (ติดผลแล้ว)
สำหรับวิธีเก็บผลมะยงชิดนั้นดูเหมือนคุณสมเกียรติยังใช้แนวทางแบบดั้งเดิมคือการสุ่มชิมผลในแต่ละต้น ทั้งนี้เขาชี้ว่า ความไม่แน่นอนเรื่องสีผิวคงไม่สามารถบอกได้ว่ามะยงชิดสุกพร้อมเก็บได้รึยัง เนื่องจากบางปีผิวสีเขียวมีรสหวาน หรือบางปีผิวเหลืองก็ยังไม่หวาน ฉะนั้น ในแต่ละปีจึงต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ยิ่งถ้าอุณหภูมิสัก 20 องศา จะทำให้ออกดอกดีมาก หรือถ้าอากาศหนาวเย็นแล้วมีฝนตกตามมายิ่งทำให้ดอกดก แล้วปีนั้นจะมีผลผลิตมากตามมาด้วย
ผลผลิตมะปราง-มะยงชิดรุ่นแรกจะเริ่มประมาณเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นรุ่นต่อมาจะเริ่มแตกดอกออกผลตามมาเป็นระยะจนกว่าจะถึงเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ถึง 4 รุ่น กว่าจะวาย ทั้งนี้ ต้นที่มีขนาดใหญ่มากจะเก็บด้วยการใช้ไม้สอย หรือปีนต้นแล้วใช้กรรไกรตัดที่ขั้วกิ่งเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของผล
อย่างไรก็ตาม ผลมะปราง-มะยงชิดที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บขายจะต้องห่อผลเพื่อชะลอไม่ให้สุกเร็ว เป็นการดึงเวลาขายให้นานขึ้น อีกทั้งยังเพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้ามาทำลายผลด้วย ดังนั้น ผลที่ห่อจึงมีผิวเรียบสวยไร้รอยตำหนิ ทำให้สามารถขายได้ราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด
ราคามะยงชิดที่สวนสมเกียรติกำหนดไว้กิโลกรัมละ 350 บาท ซึ่งเป็นราคาขายหน้าสวน เขาชี้ว่าราคานี้อาจดูสูงเพราะเกิดจากการปลูกที่มีคุณภาพ เน้นความปลอดภัยต่อผู้บริโภค แล้วยังเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตเพียงปีละครั้ง ขณะเดียวกัน ผลผลิตมักไม่ค่อยได้นำไปขายที่แผงในตลาดเพราะหมดก่อน อีกทั้งขายในสวนเมื่อมีคณะมาเยี่ยมชมดูงานแล้วเลือกซื้อจากต้นเพราะได้ความสด ใหม่
“ถ้าในวันหยุดจะมีคณะต่างๆ เดินทางมาที่สวน มีทั้งแบบติดต่อมาล่วงหน้าหรือมาเองโดยไม่ได้นัด เพื่อเข้ามาเลือกซื้อมะยงชิดบนต้น จึงต้องหาแรงงานมาช่วยเพราะลูกค้ามีจำนวนมากจนที่จอดรถหาไม่ได้แน่นไปหมด บางรายกลัวไม่มีของจึงต้องโทรศัพท์มาสั่งจองล่วงหน้า 30-40 กิโลกรัม”
ในด้านตลาดต่างประเทศ คุณสมเกียรติมองว่า สามารถทำได้เช่นเดียวกับผลไม้อื่น เพียงแต่ควรมีการส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น และเป็นการปลูกด้วยคุณภาพ ทุกวันนี้เฉพาะขายตลาดภายในประเทศยังไม่ทัน อีกทั้งห้างใหญ่หลายแห่งแห่จองข้ามปี
“ผู้ที่สนใจที่จะทำสวนมะปราง มะยงชิด ไม่ต้องกังวลว่าไม้ชนิดนี้จะดูแลรักษายาก ให้มั่นใจได้ว่าเป็นไม้ผลที่มีอนาคต เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกปี หรือบางท่านสนใจปลูกติดบ้านก็ทำได้ดูแลง่ายกว่าปลูกมะม่วงด้วยซ้ำ
ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสอยากเชิญชวนมาที่สวนสมเกียรติเพื่อมาดูผลมะยงชิดและไม้ผลอื่นๆ พร้อมกับเลือกซื้อกิ่งพันธุ์แท้ที่ลงมือทำเอง โดยสอบถามเส้นทางได้ที่ โทร. (087) 138-4113, (080) 638-0773 หรือ www.somkeate.nayok.net” คุณสมเกียรติ กล่าว
ขอบคุณที่มาจาก : technologychaoban.com