สำหรับคนที่กำลังมองหาอาชีพใหม่ๆ การขาย “ข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทย”
ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นข้าวโพดที่ไม่ต้องนำไปต้ม ย่าง
หรือนำไปแปรรูปก็สามารถรับประทานได้แบบที่ยังดิบๆ อยู่ สามารถช่วยลดต้นทุน
แถมขายได้ราคาดีอีกด้วย
คุณอ้อ เล่าให้ฟังว่า ไปเห็นข้าวโพดตัวนี้ที่งานอีเว้นต์แห่งหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิล์ด จากนั้นจึงได้ติดต่อมาขายบ้าง เพราะเป็นอาหารที่น่าสนใจ น่าจะสร้างรายได้ดี เป็นข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทยมีแหล่งปลูกอยู่ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งที่จังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ก็มีปลูกอยู่
“ผู้คนมักจะเข้าใจว่าพันธุ์ทับทิมสยามไทยนี้กับข้าวโพดเหนียวสีแดงคือชนิดเดียวกัน หลายคนสับสน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคนละชนิดกัน ข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทยไม่ใช่ข้าวโพดข้าวเหนียว และสามารถทานสดได้เลย เหมือนทานผลไม้ทั่วไป”
ราคาขายหน้าร้าน ฝักละ 35 บาท 3 ฝัก 100 บาท เป็นข้าวโพดรับประทานดิบ
ไม่ต้องต้ม ไม่ต้องย่าง นำไปแช่เย็น กินดิบๆ ได้ รสชาติหวาน
กินแล้วท้องไม่อืดเหมือนข้าวโพดทั่วไป ถ้าใครอยากจะนำไปต้มก็ได้
แต่วิตามินในข้าวโพดก็จะลดลงเท่านั้นเอง ส่วนช่องทางการตลาด
ก็ออกอีเว้นต์ไปเรื่อยๆ รวมทั้งขายผ่านทางเฟซบุ๊ก และไลน์ด้วย
คุณอ้อ เล่าว่า เดิมเคยทำงานเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่หาลูกค้าทำบัตรเครดิต แต่ด้วยความที่ลูกค้าติดแบล็คลิสต์กันเยอะ เลยทำให้ได้ยอดลดลงมาก จึงต้องมองหาอาชีพอื่น แล้วบังเอิญว่ามาเจอตัวนี้ เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน ด้วยความที่เป็นสินค้าใหม่ในตลาด ผลตอบรับค่อนข้างดี จึงคาดว่าน่าจะเป็นอาชีพที่มีแววรุ่งเลยทีเดียว
ผลงานล่าสุดของ ดร. ทวีศักดิ์ คือ การพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง “ราชินีทับทิมสยาม” (Siam Ruby Queen) ถือเป็นข้าวโพดหวานสีแดงพันธุ์แรกของโลก ที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์โดยฝีมือคนไทย ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของสีสันสวยสด รวมทั้งรสชาติที่แปลกใหม่ สามารถรับประทานสดได้เลย ทำให้ได้รสชาติที่หวานและมีความกรอบในตัว และในอีกไม่ช้าจะมีพันธุ์ Siam Ruby Queen 2 เข้ามาเสริม ซึ่งพันธุ์นี้จะมีรสชาติที่หวานอร่อยกว่าเดิม
แหล่งที่มา: sentangsedtee
ขายข้าวโพด “พันธุ์ทับทิมสยามไทย”
คุณรฐา ธนากรอภิรัช หรือคุณอ้อ เป็นเจ้าของร้าน ที่นำมาออกกับงานอีเว้นต์ ฟันฟู้ดแฟร์ แม่มณีชวนชิม ที่จัดไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิคุณอ้อ เล่าให้ฟังว่า ไปเห็นข้าวโพดตัวนี้ที่งานอีเว้นต์แห่งหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิล์ด จากนั้นจึงได้ติดต่อมาขายบ้าง เพราะเป็นอาหารที่น่าสนใจ น่าจะสร้างรายได้ดี เป็นข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทยมีแหล่งปลูกอยู่ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งที่จังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ก็มีปลูกอยู่
“ผู้คนมักจะเข้าใจว่าพันธุ์ทับทิมสยามไทยนี้กับข้าวโพดเหนียวสีแดงคือชนิดเดียวกัน หลายคนสับสน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคนละชนิดกัน ข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทยไม่ใช่ข้าวโพดข้าวเหนียว และสามารถทานสดได้เลย เหมือนทานผลไม้ทั่วไป”
คุณอ้อ เล่าว่า เดิมเคยทำงานเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่หาลูกค้าทำบัตรเครดิต แต่ด้วยความที่ลูกค้าติดแบล็คลิสต์กันเยอะ เลยทำให้ได้ยอดลดลงมาก จึงต้องมองหาอาชีพอื่น แล้วบังเอิญว่ามาเจอตัวนี้ เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน ด้วยความที่เป็นสินค้าใหม่ในตลาด ผลตอบรับค่อนข้างดี จึงคาดว่าน่าจะเป็นอาชีพที่มีแววรุ่งเลยทีเดียว
ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทย
ดร. ทวีศักดิ์ ภู่หลำ อดีตอาจารย์ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เป็นที่รู้จักกันดี เพราะมีผลงานมากมาย และที่สำคัญท่านเป็น 1 ใน 5 ของนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดระดับโลก ปัจจุบันเป็นเจ้าของ บริษัท สวีทซีดส์ จำกัดผลงานล่าสุดของ ดร. ทวีศักดิ์ คือ การพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง “ราชินีทับทิมสยาม” (Siam Ruby Queen) ถือเป็นข้าวโพดหวานสีแดงพันธุ์แรกของโลก ที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์โดยฝีมือคนไทย ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของสีสันสวยสด รวมทั้งรสชาติที่แปลกใหม่ สามารถรับประทานสดได้เลย ทำให้ได้รสชาติที่หวานและมีความกรอบในตัว และในอีกไม่ช้าจะมีพันธุ์ Siam Ruby Queen 2 เข้ามาเสริม ซึ่งพันธุ์นี้จะมีรสชาติที่หวานอร่อยกว่าเดิม
ประโยชน์ของข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทย
สำหรับประโยชน์ของข้าวโพดพันธุ์นี้ มีปริมาณสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) สูง ซึ่งสารตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่มีในดอกอัญชันที่นำมาต้มดื่มกันเพื่อสุขภาพ เป็นสารรงควัตถุสีม่วง-แดง ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีจำนวนมากทั้งในเมล็ด ซัง และไหมข้าวโพด ซึ่งนำเมล็ดมารับประทานตามปกติก็ได้ หรือจะนำไหมกับซังมาต้มเพื่อสกัดสารตัวนี้ก็ได้ ถ้ารับประทานเมล็ดข้าวโพดตัวนี้มีกลิ่นหอมคล้ายๆ ผลไม้บางชนิด และมีรสชาติหวานกรอบเป็นเอกลักษณ์วิธีการปลูกข้าวโพดพันธุ์ทับทิมสยามไทย
เรื่องการปลูก ให้ปลูกเหมือนข้าวโพดหวานปกติทั่วไป แต่ข้าวโพดหวานพันธุ์นี้จะไม่ชอบหน้าฝนที่มีช่วงฝนตกหนักตลอด เพราะอ่อนแอต่อความชื้นสูงๆ มากกว่าพันธุ์อื่น แต่ก็มีเกษตรกรบางคนนำไปปลูกช่วงหน้าฝนและได้ผลผลิตดีด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการปลูกด้วย ในช่วงอายุ 45-50 วัน ต้องหมั่นตรวจดูการระบาดของแมลงอีกครั้ง โดยเฉพาะหนอนเจาะลำต้น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ หากพบการระบาดให้กำจัดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร พร้อมให้ปุ๋ย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 10-15 กิโลกรัม ต่อไร่แหล่งที่มา: sentangsedtee