Home »
Uncategories »
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พิสูจน์พลังสวดมนต์ ที่สืบทอดจากสมัยโบราณ…ประโยชน์เพียบเลย
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พิสูจน์พลังสวดมนต์ ที่สืบทอดจากสมัยโบราณ…ประโยชน์เพียบเลย
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พิสูจน์พลังสวดมนต์ ที่สืบทอดจากสมัยโบราณ…ประโยชน์เพียบเลย
วิทยาศาสตร์ พิสูจน์พลังการสวดมนต์ยังช่วยให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา”ซิ้งค์” กันได้ดี โดยสมองส่วนต่าง ๆ จะทำงานเข้าขากัน
หรือมีจังหวะตรงกันพอดี ซึ่งทำให้คิดอ่าน-เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากช่วยเรื่องสุขภาพกายใจแล้ว การสวดมนต์ยังช่วยให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา”ซิ้งค์” กันได้ดี โดยสมองส่วนต่างๆ จะทำงานเข้าขากัน
หรือมีจังหวะตรงกันพอดี ซึ่งทำให้คิดอ่าน-เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยม
การสวดมนต์เป็นมรดกล้ำค่าจากยุคโบราณที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน โดยคุณค่าไม่ได้สูญหายไปตามกาลเวลา
แต่กลับเป็นศาสตร์อันลึกซึ้ง ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายสาขา
อเล็กซา อิริคสัน ผู้ชื่นชอบการรักษาสมดุลแห่งชีวิตและความสุขจากภายใน ได้ค้นคว้าและเขียนลงในเว็บไซต์
http://www.collective-evolution.com เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2560 เกี่ยวกับประโยชน์ของการสวดมนต์ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่พิสูจน์แล้ว
ใจความว่าการเชื่อมโยงเรื่องราวทางจิตวิญญาณให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ดูจะเป็นเทรนด์ของโลกวันนี้
ผู้คนสมัยนี้เรียกร้องให้มีการพิสูจน์ก่อนที่จะ
เชื่อถือเรื่องต่างๆหรือการปฏิบัติใด ๆ
การสวดมนตร์ นั้นเป็นของโบราณและเกิดขึ้นมายาวนานก่อนที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะบังเกิดขึ้นมาและสนับสนุนเรื่องนี้ มีการใช้การสวดมนต์
เพื่อรักษาโรคและจุดพลังตัวตนเราให้สูงค่าดีงามขึ้น
ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์สามารถทำให้เราเชื่อมโยงกับสิ่งโบราณแต่ทันสมัยสิ่งนี้ได้แล้ว
ไม่ว่าจะสวดมนต์อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
รู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมาย ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
การสวดมนต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือ
ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาวะทั้งร่างกายและจิตใจ
เด็ก ๆ ก็สวดได้ แม้ไม่รู้ความหมาย ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างดังนั้นเป็นเรื่องที่ดี ที่จะสนับสนุนให้เด็กฝึกสวดมนต์ตั้งแต่เด็ก
เพราะเกิดประโยชน์ด้านสุขภาวะกายใจของเด็ก
ตามแบบแผนดั้งเดิมนั้น การสวดมนต์ในศาสนาฮินดู พุทธ คริสต์ อิสลาม
และฮีบบรู มักใช้เป็นวิธี ปลุกคุณสมบัติด้านสว่างในตัวคุณ หรือใช้รักษา
ผู้คน แต่ ทุกวันนี้มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการสวดมนต์มากขึ้น นั่นคือสวดมนต์เพื่อรักษาสุขภาพและความสุข
มีความเป็นวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาที่อยู่เบื้องหลังการสวดมนต์ โดยโจนาธาน โกลด์แมน ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นทั้งนักเขียน นักดนตรี
และอาจารย์สอนในสาขาการบำบัดด้วยเสียงและคลื่นความถี่ กล่าวว่า
“การสวดมนต์มีความเป็นศาสตร์แข็ง เช่น ฟิสิกส์ หรือเกี่ยวกับประสาทสัมผัสของมนุษย์ด้านการได้ยิน และอื่นๆ
บางทีก็มีความเป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ เช่น การปฏิบัติของสายโยคะต่างๆที่มีการใช้เสียงด้วย”
ดร.เฮอเบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ นักเขียน อายุรแพทย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจ และผู้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์ด้านร่างกายและจิตใจแห่งมหาวิทยา
ลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาดูว่า การสวดมนต์ช่วยทำให้เกิดภาวะการตอบสนองอย่างผ่อนคลาย โดยนิยามการตอบสนองนี้ว่าเป็นความสามารถเฉพาะ
บุคคลที่จะกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารเคมีและคลื่นสมองซึ่งทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระบวนการหายใจช้าลง และความดันเลือดลดลง
โกลด์แมนกล่าวว่า ดร. อัลเฟรด โตมาติส ใช้เสียงสวดมนต์ของนักบวชเกรกอเรียนกระตุ้นระบบประสาท สมอง และหู ของผู้เข้ามาบำบัด งานของ
เขาสำคัญมากต่อประโยชน์ของเสียงและการสวดมนต์ในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เขาพบด้วยว่า เสียงที่จำเพาะ
มีความถี่เสียงที่สูงเป็นพิเศษจะกระตุ้นและสร้างพลังให้สมองส่วนคอร์เทกซ์และระบบประสาท
และเขารู้ว่า เสียงสวดมนต์แบบอื่นจากประเพณีอื่นก็มีผลเช่นเดียวกัน นอกจากมีการศึกษาปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ในเรื่องการสวดมนต์ยังมีมี
การศึกษาในศาสตร์อื่นอีกเหมือนกัน
ดร.เดวิด ชานานอฟ –คาลซา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเพื่อกลไกร่างกายและจิตใจแห่งสถาบันไบโอเซอกิตแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ซานดิเอโก และเป็นสมาชิกของศูนย์การแพทย์ผสมผสานที่มหาวิยาลัยแห่งนี้ รายงานถึงแนวคิดการใช้
การสวดมนต์เพื่อช่วยในการรักษาแบบฝังเข็ม
ดร.รานจิ สิงห์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักธุรกิจ และนักการศึกษาโลก พบว่า
การสวดมนต์เจาะจงบทใดบทหนึ่งซ้ำๆ จะทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเกิดประโยชน์มากมายเช่น
ลดขนาดเนื้องอก และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
มีการค้นพบด้วยว่า การสวดมนต์นั้นเพิ่มออกซิเจนให้สมอง ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ความดันเลือดดีขึ้น และทำให้คลื่นสมองสงบ และ
การสวดมนต์ยังสามารถทำให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา”ซิ้งค์” กันได้ดี คือ สมองส่วนต่างๆ ทำงานเข้าขากัน หรือมีจังหวะตรงกันพอดี
ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการคิดอ่าน-เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นไปด้วยดี
ตอนท้ายสุด อเล็กซา ปิดท้ายว่า
เมื่อเรารู้สึกไม่สบายทางร่างกายและจิตใจ แล้วแสวงหาการรักษา แม้ภาพของโลกที่การสวดมนต์กลายเป็นคำแนะนำอันดับต้นๆที่ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ อาจจะดูเป็นงานที่ยาก
แต่ผู้คนทุกวันนี้ก็ตระหนักขึ้นเรื่อยๆ
ว่าเราสามารถสวดมนต์เพื่อสุขภาพและความสุข
ให้เราหวังกันเถอะว่า เราจะทำให้พลังของการสวดมนต์อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น และเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด