Home »
Uncategories »
ทำไมการทำบุญบริจาคโลง ถึงได้รับอานิสงส์แรง
ทำไมการทำบุญบริจาคโลง ถึงได้รับอานิสงส์แรง

ทำไมการทำบุญบริจาคโลง ถึงได้รับอานิสงส์แรง
ในการทำบุญนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี
แต่เชื่อว่าหลายๆคนคงมีคำถามกับคำถามที่ว่า
ทำไมอานิสงส์ของการบริจาคโลงถึงได้บุญกุศลที่แรง
การทำบุญบริจาคโลงนั้นจะทำให้ใจของผู้บริจาคเป็นสุข เป็นสุขจากการได้ทำบุญ
การได้ทำความดี การทำความดีให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ตามคำโบราณเขาได้กล่าวกันไว้ว่า เป็นการต่ออายุขัย
และการสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเรา จากหนักจะกลายเป็นเบา
เราควรทำบุญให้ได้อย่างน้อยปีละครั้ง
เพื่อเป็นการเสริมบุญเสริมดวงชะตาชีวิตให้กับตนเอง
1. ใช้มือสัมผัสใบอนุโมทนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้า ชื่อ-สกุล
ขอน้อมถวายการทำบุญโลงในครั้งนี้ แด่วิญญาณไร้ญาติหรือวิญญาณที่ยากไร้
ขอให้ท่านได้รับอานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปแล้วนี้
ขอให้ท่านได้ไปยังภพภูมิที่ดีด้วยเทอญฯ (และตั้งจิตอธิษฐานอื่นๆ)
2. สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่แต่ละสถานที่กำหนด
และควรไหว้ฟ้าดินก่อน ปักธูปตามจำนวนที่เขากำหนดไว้ โดยมากจะเขียนบอก
ควรไหว้ให้ครบทุกองค์
3. เผาใบอนุโมทนานั้นในที่ที่จัดไว้
4. จากความเชื่อว่ามนุษย์ผู้นั้นที่ยังคงบริโภคเนื้อสัตว์อยู่
ผลบุญนี้อาจจะยังไม่ถึง จึงนิยมเคาะกลอง และระฆัง
เพื่อให้ได้ยินไปที่สวรรค์
5. เติมน้ำมันตะเกียงเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับชีวิต
6. กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลให้ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร

มีผู้รู้ได้วิจารณ์เกี่ยวกับอานิสงส์ของการบริจาคโลงด้วยความเชื่อในแบบต่าง ๆ ไว้ดังนี้
– บริจาคโลงเพื่อช่วยเหลือผู้จากไปที่ขัดสนยากไร้ หรือวิญญาณไร้ญาติ
อย่างนี้เป็นบุญที่ทำด้วยความสงสาร
และปรารถนาจะช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีธรรมะ คือ
ความเมตตากรุณาเป็นปัจจัยให้บริจาคทาน ถือเป็นการทำบุญด้วยใจที่บริสุทธิ์–
บริจาคโลง โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล
และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล
ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้เป็นการสะเดาะเคราะห์
ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย
เจริญก้าวหน้าในชีวิต ความเห็นความเข้าใจในพิธีกรรมเพียงเท่านี้
ยังไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความสำเร็จความสมหวังได้
เพราะการทำบุญให้ทานด้วยความกลัว ความโลภนั้น มีอานิสงส์น้อย มีอานุภาพน้อย
เปรียบเสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
– บริจาคโลง โดยการนอนบนฝาโลง ทอดผ้าบังสุกุล
และนิมนต์พระมาสวดชักผ้าบังสุกุล
ด้วยความเชื่อและคิดหวังให้จะเป็นการสะเดาะเคราะห์
ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกาย และต่อชะตาสืบอายุให้มีโชคมีชัย
เจริญก้าวหน้าในชีวิต แล้วได้ฟังพระท่านให้ธรรมะเพิ่มเติม แล้วเกิดสติปัญญา
นำไปเป็นเป็นข้อคิด เป็นคติเตือนใจว่า ชีวิตคนเราทั้งหลายก็เท่านี้
เกิดมามีความจากไปเป็นที่สุด และก็ต้องมานอนอยู่ในโลงแบบนี้
เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยแม้แต่ร่างกายของตนที่มีแต่จะผุพังเน่าเปื่อย
ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นและอยากจะปัดเป่าให้หายไป
ก็เกิดขึ้นเพราะบาปกรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำไปเพราะความประมาทและขาดซึ่งสติปัญญานั่นเอง
ดังนั้น ต่อไปจะต้องไม่ประมาท อย่างนี้ เรียกว่า ทำบุญเสริมดวงให้แข็ง คือ
ได้สติปัญญา
และสติปัญญานี้เองที่ถือเป็นยอดบุญในหมวดธรรมะที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

จึงกล่าวได้ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดก็ตาม
อานิสงส์หรือผลบุญที่ได้รับจะมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำบุญเป็นหลัก การทำบุญ เพราะความกลัว ความโลภ
และหวังให้เกิดประโยชน์แก่เฉพาะตัวเอง
จะได้บุญน้อยกว่าการทำบุญด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์
ด้วยหวังเพียงให้ผู้อื่นเป็นสุข เช่นเดียวกับการบริจาคโลงนี้
หากเราลองคิดว่า วิญญาณผู้ยากไร้หรือวิญญาณไร้ญาติเหล่านั้น คือ
คนใกล้ชิดของเรา หรือกระทั่งเป็นตัวเราเอง การการจากไปอย่างไร้ญาติ
อย่างคนอนาถา ถือเป็นเรื่องน่าเวทนานัก หากมีผู้ใดมีจิตกรุณา
ช่วยสงเคราะห์ผ้าห่อวิญญาณไม่ให้เป็นที่อุจาดตา อุทิศโลงให้เราได้อาศัย
ไม่ให้ต้องนอนอยู่กลางแดดฝนเป็นอาหารของหนอนหรือแร้งกา
ก็ถือเป็นพระคุณแก่วิญญาณของเรายิ่งนัก
และเราก็ย่อมจะตอบแทนด้วยการอวยพรให้ผู้มีพระคุณผู้นั้นมีแต่ความสุขความเจริญ
เมื่อคิดได้เช่นนี้เราก็จะมีจิตที่ยินดี เกิดเป็นความรู้สึกสุขใจ สบายใจ
และความสุขใจนี่เอง คืออานิสงส์ผลบุญที่เราจะได้ตอบแทนมาโดยไม่ต้องคาดหวัง
และถือเป็นบุญอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก : adchips