การสะกดจิตนั่นสามารถทำได้จริงหรือไม่นั้น
หากอยากรู้คำตอบก็คงมีทางเดียว ก็คือ ต้องลองดู
แต่ถ้าจะลองทำดูควรที่จะลองทำกับคนที่เขายินยอมพร้อมใจเท่านั้น
อย่าเอาไปใช้พร่ำเพรื่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีนักหากเขาไม่ยินยอม
การสะกดจิต (hypnosis) หากฟังดูแล้วก็เหมือนเรื่องหลอกเด็ก แต่มีคนเขาฝึกฝนและค้นคว้าวิจัยกันเยอะมาก ว่าเราสะกดจิตใครอีกคนได้อย่างไร หนึ่งในวิธียอดนิยมและว่ากันว่าได้ผล ก็คือการสะกดจิตโดยจ้องตา อย่างที่รู้กันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ อยากรู้ว่าทำอย่างไร มาดูกันเลย
2. ให้เขานั่งตัวตรงแต่ผ่อนคลาย อย่าสะกดจิตแบบยืน เพราะพอถูกสะกดจิตแล้วอาจปล่อยตัวปล่อยใจจนหงายหลังหัวฟาดไปได้
3. บอกเขาให้เพ่งมองที่ใต้ตาขวาของคุณ ย้ำว่าระหว่างคุณพูดคุยกับเขา อย่าละสายตาไปที่อื่น
4. จ้องมองเขาอย่ากะพริบตา เริ่มนับถอยหลังจาก 5 ไป 1 ด้วยน้ำเสียงต่ำๆ เย็นๆ ระหว่างนับก็บอกไปพลางๆ ว่า
“เปลือกตาเธอจะเริ่มหนักขึ้น…หนักขึ้น”
“จะรู้สึกว่าเปลือกตาหนักเหมือนมีอะไรมาถ่วงไว้”
“เดี๋ยวจะรู้สึกว่าเปลือกตาหนักจนลืมไม่ขึ้นเลย”
“ยิ่งพยายามลืมตา ก็ยิ่งถ่วง หนัก เหมือนมีใครมาปิดตาไว้เลย”
พูดประโยคพวกนี้ซ้ำๆ ระหว่างนับถอยหลังจาก 5 ไป 1
5. บอกเขาว่าเดี๋ยวคุณจะแตะไหล่เขา แล้วเขาจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง สำคัญว่าต้องคอยบอกเขาทุกขั้นตอน ว่าจะเกิดอะไรกับเขาบ้างก่อนแตะต้องตัว เพื่อตั้งโปรแกรมให้เขาคิดตาม คิดตรงกัน ว่าคุณจะออกคำสั่ง และเขาจะตอบสนองโดยทำตามคำสั่งนั้น แล้วบอกเขาว่า “พอเราแตะไหล่แล้ว เธอจะรู้สึกว่าตัวหนัก แขนขาอ่อน โอเคนะ?”
6. แตะไหล่แล้วบอกเขาว่าตอนนี้ให้ปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่ต้องตกใจถ้าเขาทรุดหรือหงายไปบนเก้าอี้ นั่นแปลว่าเขาปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ และถูกสะกดจิตเรียบร้อย
7. ย้ำกับเขาว่าตอนนี้ถูกสะกดจิตแล้ว
ต้องให้เจ้าตัวรู้ว่าที่ผ่อนคลายอยู่ตอนนี้คือถูกสะกดจิตนั่นเอง
และต้องคอยปลอบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวหรืออันตราย
คอยพูดคุยเสริมสร้างความไว้ใจ เขาจะได้คล้อยตามคำสั่งของคุณ
8. บอกว่าตอนนี้แขนขวาของเขาจะห้อยหนัก อ่อนแรง ถึงจะควบคุมแขนไม่ได้ ปล่อยฟรี แต่ก็จะรู้สึกสบาย พูดจบก็ให้แตะแขนขวาของเขาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง ยกแขนเขาเพื่อเช็คว่าตอนนี้ปล่อยตามสบาย ไร้การควบคุมแล้ว จากนั้นก็วางกลับที่เดิม แบบนี้แปลว่าเขาอยู่ใต้การควบคุมของคุณแล้ว และพร้อมจะฟังเสียงและคำสั่งของคุณ
9. กำหนดให้เขาฟังและทำตามแต่เสียงของคุณ นับถอยหลังจาก 5 ไป 1 บอกเขาว่าพอคุณนับถึง “หนึ่ง” เขาจะฟังแต่เสียงของคุณเท่านั้น ดีดนิ้วตอนนับถึง “หนึ่ง” เพื่อให้เขาเริ่มเพ่งความสนใจมาที่เสียงคุณ บอกเขาว่าเสียงของคุณจะทำให้เขาผ่อนคลายมากกว่าเดิม จากนั้นบอกให้เขาฟังทุกคำที่คุณพูด และจะได้ยินแต่เสียงของคุณเท่านั้น สั่งให้เขาฟังและทำตามแต่เสียงของคุณ ปิดกั้นเสียงอื่นๆ รอบตัว
10. ทดสอบว่าเขาถูกสะกดจิตโดยสมบูรณ์ไหม ตอนนี้พอเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณแล้ว ก็ทดสอบความสามารถของคุณดู โดยให้เขาแตะจมูกหรือตาของตัวเอง หรือให้เขายกแขนหรือขาตามคำสั่ง ย้ำว่าจะสะกดจิตใครต้องระวังและมีความรับผิดชอบ อย่าลืมว่าเขาต้องเชื่อคุณหมดใจถึงจะได้ผล เพราะงั้นอย่าหักหลังเขาโดยสั่งให้เขาทำอะไรน่าอายหรืออันตรายตอนถูกสะกดจิต
ต้องรู้ก่อนว่าคนที่ถูกสะกดจิตยังคงรู้ตัวอยู่ ไม่ได้ตกอยู่ใต้มนต์สะกด เขาแค่เปิดรับคำแนะนำและคำสั่งเท่านั้น บางทีเราก็เหมือนถูกสะกดจิตหรือใจลอยกันบ่อยๆ แต่ไม่รู้ตัว ลองนึกถึงตอนคุณนั่งเหม่อในห้องเรียน หรือฝันกลางวันดูสิ ไม่ก็ตอนที่คุณใจจดใจจ่อกับหนังหรือซีรีส์โปรดซะจนลืมคนและบรรยากาศรอบตัวไปซะสนิท พวกนี้เป็นผลมาจากการจดจ่อที่อะไรนานๆ จนเหมือนเข้าฌาน
2. สะกดจิตก็มีประโยชน์ การสะกดจิตไม่ใช่แค่แกล้งกันเล่นๆ เช่น ให้เพื่อนเต้นไก่ย่างถูกเผา แต่เขาศึกษากันมาแล้วว่าช่วยแก้ปัญหานอนไม่หลับ กระทั่งช่วยให้เลิกบุหรี่ หยุดกินจุ หรือโรคอื่นๆ ด้านพฤติกรรมได้
3. อยากสะกดจิตให้ได้ผลต้องหมั่นฝึกฝน ถึงการสะกดจิตจะไม่ได้รับการยอมรับหรือออกใบอนุญาตเหมือนแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ก็มีหลายสถาบันของต่างประเทศ ออกใบประกาศให้นักบำบัดด้วยการสะกดจิต หลังเข้าอบรมขั้นพื้นฐานและขั้นสูงเหมือนกัน
คอร์สที่เรียนแล้วได้ใบประกาศส่วนใหญ่จะพูดถึงพวกจรรยาบรรณและทักษะการสะกดจิตเบื้องต้น ถ้าสนใจให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องคอร์สสะกดจิตบำบัดแบบมีใบประกาศดู เผื่อจะรู้ประโยชน์ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
แหล่งที่มา: wikihow
การสะกดจิต (hypnosis) หากฟังดูแล้วก็เหมือนเรื่องหลอกเด็ก แต่มีคนเขาฝึกฝนและค้นคว้าวิจัยกันเยอะมาก ว่าเราสะกดจิตใครอีกคนได้อย่างไร หนึ่งในวิธียอดนิยมและว่ากันว่าได้ผล ก็คือการสะกดจิตโดยจ้องตา อย่างที่รู้กันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ อยากรู้ว่าทำอย่างไร มาดูกันเลย
ส่วนที่ 1 ฝึกเพ่งสายตา
1. พยายามเพ่งสายตาจุดเดิมให้ได้นานๆ โดยไม่กะพริบตา
อาจจะจ้องมองตัวเองในกระจก แล้วจับเวลาว่าคุณเพ่งสายตาได้นานแค่ไหนโดยไม่กะพริบตา หรือแข่งจ้องตากับคนอื่นเพื่อทดสอบความสามารถ ถ้าควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตาตัวเองได้ จะทำให้จ้องตาคนอื่นได้นานระหว่างสะกดจิต2. ฝึกการเพ่งมองสิ่งต่างๆ
โดยมองสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ เช่น ปากกา ดินสอ แล้วมองไปยังของที่อยู่ไกลๆ ในห้องเดียวกัน ลองถือดินสอไว้ใกล้หน้า แล้วเพ่งมองย้ายจากดินสอไปมองวัตถุอื่นที่อยู่ไกลออกไป เช่น รูปที่กำแพง หรือลูกบิดประตู ย้ายกลับมามองดินสอ จากนั้นสลับไปมองของที่อยู่ไกลๆ ฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ย้ายจุดสนใจได้ดี3. ฝึกการรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว
ก็คือทักษะในการมองวัตถุต่างๆ และการเคลื่อนไหวโดยรอบแบบไม่หันไปมอง วิธีฝึกก็คือ นั่งริมถนนที่คนพลุกพล่าน หรือนั่งหน้าทีวี/จอคอมพิวเตอร์ที่กำลังฉายภาพบรรยากาศจอแจ พยายามมองคนหรืออะไรที่ผ่านไปมาโดยหันหน้าไปอีกทาง จากนั้นสลับไปหันหน้าอีกข้าง ทั้ง 2 ครั้งต้องรับรู้ถึงบรรยากาศและสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด ฝึกทั้ง 2 ด้าน ทั้งหันซ้ายและหันขวาให้เชี่ยวชาญส่วนที่ 2 จ้องตาสะกดจิต
1. ขออนุญาตเจ้าตัวก่อนอาจจะถามว่า “ขอลองสะกดจิตหน่อยนะ?” รอให้เขาตอบว่า “โอเค” ซะก่อนแล้วค่อยเริ่ม ควรฝึกจ้องตาสะกดจิตเพื่อน แฟน หรือครอบครัวที่รู้จักและไว้ใจกันดี เพราะจะเต็มใจและได้ผลกว่าเยอะเลย จุดสำคัญคือคนที่ถูกสะกดจิตต้องเต็มใจ ถ้าขัดขืนหรือไม่อยากให้คุณสะกดจิต จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่2. ให้เขานั่งตัวตรงแต่ผ่อนคลาย อย่าสะกดจิตแบบยืน เพราะพอถูกสะกดจิตแล้วอาจปล่อยตัวปล่อยใจจนหงายหลังหัวฟาดไปได้
4. จ้องมองเขาอย่ากะพริบตา เริ่มนับถอยหลังจาก 5 ไป 1 ด้วยน้ำเสียงต่ำๆ เย็นๆ ระหว่างนับก็บอกไปพลางๆ ว่า
“เปลือกตาเธอจะเริ่มหนักขึ้น…หนักขึ้น”
“จะรู้สึกว่าเปลือกตาหนักเหมือนมีอะไรมาถ่วงไว้”
“เดี๋ยวจะรู้สึกว่าเปลือกตาหนักจนลืมไม่ขึ้นเลย”
“ยิ่งพยายามลืมตา ก็ยิ่งถ่วง หนัก เหมือนมีใครมาปิดตาไว้เลย”
พูดประโยคพวกนี้ซ้ำๆ ระหว่างนับถอยหลังจาก 5 ไป 1
5. บอกเขาว่าเดี๋ยวคุณจะแตะไหล่เขา แล้วเขาจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง สำคัญว่าต้องคอยบอกเขาทุกขั้นตอน ว่าจะเกิดอะไรกับเขาบ้างก่อนแตะต้องตัว เพื่อตั้งโปรแกรมให้เขาคิดตาม คิดตรงกัน ว่าคุณจะออกคำสั่ง และเขาจะตอบสนองโดยทำตามคำสั่งนั้น แล้วบอกเขาว่า “พอเราแตะไหล่แล้ว เธอจะรู้สึกว่าตัวหนัก แขนขาอ่อน โอเคนะ?”
6. แตะไหล่แล้วบอกเขาว่าตอนนี้ให้ปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่ต้องตกใจถ้าเขาทรุดหรือหงายไปบนเก้าอี้ นั่นแปลว่าเขาปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ และถูกสะกดจิตเรียบร้อย
8. บอกว่าตอนนี้แขนขวาของเขาจะห้อยหนัก อ่อนแรง ถึงจะควบคุมแขนไม่ได้ ปล่อยฟรี แต่ก็จะรู้สึกสบาย พูดจบก็ให้แตะแขนขวาของเขาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง ยกแขนเขาเพื่อเช็คว่าตอนนี้ปล่อยตามสบาย ไร้การควบคุมแล้ว จากนั้นก็วางกลับที่เดิม แบบนี้แปลว่าเขาอยู่ใต้การควบคุมของคุณแล้ว และพร้อมจะฟังเสียงและคำสั่งของคุณ
9. กำหนดให้เขาฟังและทำตามแต่เสียงของคุณ นับถอยหลังจาก 5 ไป 1 บอกเขาว่าพอคุณนับถึง “หนึ่ง” เขาจะฟังแต่เสียงของคุณเท่านั้น ดีดนิ้วตอนนับถึง “หนึ่ง” เพื่อให้เขาเริ่มเพ่งความสนใจมาที่เสียงคุณ บอกเขาว่าเสียงของคุณจะทำให้เขาผ่อนคลายมากกว่าเดิม จากนั้นบอกให้เขาฟังทุกคำที่คุณพูด และจะได้ยินแต่เสียงของคุณเท่านั้น สั่งให้เขาฟังและทำตามแต่เสียงของคุณ ปิดกั้นเสียงอื่นๆ รอบตัว
10. ทดสอบว่าเขาถูกสะกดจิตโดยสมบูรณ์ไหม ตอนนี้พอเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณแล้ว ก็ทดสอบความสามารถของคุณดู โดยให้เขาแตะจมูกหรือตาของตัวเอง หรือให้เขายกแขนหรือขาตามคำสั่ง ย้ำว่าจะสะกดจิตใครต้องระวังและมีความรับผิดชอบ อย่าลืมว่าเขาต้องเชื่อคุณหมดใจถึงจะได้ผล เพราะงั้นอย่าหักหลังเขาโดยสั่งให้เขาทำอะไรน่าอายหรืออันตรายตอนถูกสะกดจิต
ส่วนที่ 3 รู้จักการสะกดจิต
1. การสะกดจิตไม่ใช่ทำให้หลับหรือไม่รู้สึกตัว การสะกดจิตคือทำให้เขาอยู่ในสภาวะมีสมาธิแรงกล้า จนรับรู้และเชื่อฟังคำแนะนำหรือคำสั่งจากคนที่เป็นผู้สะกดจิตต้องรู้ก่อนว่าคนที่ถูกสะกดจิตยังคงรู้ตัวอยู่ ไม่ได้ตกอยู่ใต้มนต์สะกด เขาแค่เปิดรับคำแนะนำและคำสั่งเท่านั้น บางทีเราก็เหมือนถูกสะกดจิตหรือใจลอยกันบ่อยๆ แต่ไม่รู้ตัว ลองนึกถึงตอนคุณนั่งเหม่อในห้องเรียน หรือฝันกลางวันดูสิ ไม่ก็ตอนที่คุณใจจดใจจ่อกับหนังหรือซีรีส์โปรดซะจนลืมคนและบรรยากาศรอบตัวไปซะสนิท พวกนี้เป็นผลมาจากการจดจ่อที่อะไรนานๆ จนเหมือนเข้าฌาน
2. สะกดจิตก็มีประโยชน์ การสะกดจิตไม่ใช่แค่แกล้งกันเล่นๆ เช่น ให้เพื่อนเต้นไก่ย่างถูกเผา แต่เขาศึกษากันมาแล้วว่าช่วยแก้ปัญหานอนไม่หลับ กระทั่งช่วยให้เลิกบุหรี่ หยุดกินจุ หรือโรคอื่นๆ ด้านพฤติกรรมได้
3. อยากสะกดจิตให้ได้ผลต้องหมั่นฝึกฝน ถึงการสะกดจิตจะไม่ได้รับการยอมรับหรือออกใบอนุญาตเหมือนแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ก็มีหลายสถาบันของต่างประเทศ ออกใบประกาศให้นักบำบัดด้วยการสะกดจิต หลังเข้าอบรมขั้นพื้นฐานและขั้นสูงเหมือนกัน
คอร์สที่เรียนแล้วได้ใบประกาศส่วนใหญ่จะพูดถึงพวกจรรยาบรรณและทักษะการสะกดจิตเบื้องต้น ถ้าสนใจให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องคอร์สสะกดจิตบำบัดแบบมีใบประกาศดู เผื่อจะรู้ประโยชน์ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
แหล่งที่มา: wikihow