สวัสดีครับเพื่อนๆที่รักของซาลาเปาแอดมินอัพยิ้ม
วันนี้ซาลาเปามาพร้อมกับความหลอนที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าเจอเองกับตัวคงไม่ต้องบอกนะครับว่า จะเป็นอย่างไร
ซาลาเปาก็เลยอยากเอาเรื่องนี้มาฝากทุกคนครับ กลัวจะเบื่อข่าววงการบันเทิง
ถ้าจะพูดถึงครูนาฏศิลป์ ก็ต้องรำสวยครับ แต่เรื่องนี้พีคกว่านั้น
เพราะมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
และเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไรใครอยากสัมผัสถึงความหลอนตามซาลาเปามาทางนี้ได้เลยครับว่าจะเป็นอย่างไร
ไปกันเลยครับ
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ ผมเป็นเด็กในจังหวัดทางภาคอีสาน ย้ายเข้ามาอยู่กับครอบครัวในจังหวัดสระบุรีครับแล้วผมก็ย้ายมาเรียนต่อม.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้
เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงนั้นเป็นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูหนาวก็จะมืดเร็วครับ ช่วงนั้นเป็นงานเกี่ยวกับการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ซึ่งผมก็จะได้ร่วมการแข่งขันด้วย ผมได้รับเลือกเข้าการแข่งขัน Drawing (วาดภาพลายเส้น) ซึ่งคุณครูที่ฝึกสอนผมจะเข้มงวดมากคือจะให้ผมและคนอื่นๆที่จะไปแข่งขันได้ซ้อมกันจนเย็นเกือบทุกวันครับเสาร์อาทิตย์ก็ต้องมาซ้อม ซึ้งผมก็ต้องยอมใจซ้อมครับ วันนั้นก่อนการแข่งขัน2วันจะเป็นวันที่ผมซ้อมหนักมากๆเลิกซ้อมก็เกือบๆ1ทุ่มครับ
ซึ่งตอนผมเดินลงมากจากอาคารก็3ชั้นครับผมอยู่ชั้น4เดินลงมาคนเดียวเพราะคนอื่นๆกลับกันหมดแล้ว ส่วนคุณครูกำลังเก็บของส่วนตัวของท่านอยู่ผมเลยขอตัวลงมาก่อนเพราะมันก็มืดแล้ว(ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวด้วยครับมันมืดเร็ว) ตอนที่ผมเดินลงบันไดระหว่างชั้น4ลงไปชั้น3 ซึ่งอยู่ในช่วงชั้น3ของอาคารนะครับผมได้ยินเหมือนคนวิ่งด้วยความเร็วเหมือนวิ่งแข่งกันครับได้ยินแต่เสียงวิ่งนะครับเสียงเท้ากระทบพื้นแต่ไม่ได้ยินเสียงคนพูดหรือเล่นกันซึ่งผมไม่ได้คิดไรมากผมคิดว่ามีคนอยู่มีนักเรียนที่เตรียมตัวแข่งขันหมวดสังคมอยู่แน่ๆ(ชั้น3เป็นชั้นหมวดสังคมฯครับ)ผมก็ไม่ได้เดินไปดูตรงแนวหน้าห้องของอาคารครับ
ผมก็เดินลงอาคารตามปกติแต่พอผมเดินมาถึงชั้นล้างผมลืมไปเลยว่าผมเดินมาตัวเปล่าผมลืมหยิบรองเท้า ของผมมาด้วยผมเลยเดินย้อนกลับขึ้นไปบนอาคารใหม่(ผมนี้ขี้ลืมจริงๆ) ระหว่างที่ผมกำลังจะขึ้นไปชั้น4กลับไปเอารองเท้าของผมนั้น ผมได้เดินสวนกับคุณครูตรงระหว่างชั้น2 คุณครูท่านทำหน้าตื่นๆเหมือนเป็นอะไรผมก็ไม่ได้ถามอะไรท่านครับผมก็ยิ้มเจื่อนๆให้ท่านไป คุณครูเลยทักผมว่าผมจะไปไหน ผมเลยบอกท่านไปว่า “ไปเอารองเท้าครับผมลืมรองเท้าไว้ข้างบน” แล้วคุณครูก็บอกกับผมว่า “งั้นครูไปก่อนนะครูรีบ”
ผมก็โอเคครับคิดว่าคุณครูท่านคงจะมีธุระ ผมก็เลยไหว้ลาท่านอีกครั้งนึง.. พอผมขึ้นไปเอารองเท้าเสร็จแล้ว ผมก็เดินลงบันไดอีกครั้งทีนี้ล่ะครับที่น่าแปลกคือ.. พอเดินลงจากชั้น4 ผมเห็นว่าชั้น3มืดมิดทั้งชั้นเลยครับผมคิดว่าไฟตกหรือเปล่าชั้น3คือไฟดับหมดเลยครับผมก็เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วครับเพราะตอนขึ้นมาไฟยังติดอยู่เลย อากาศก็เย็นยะเยือกซะเหลือเกินเสียงลมก็หวิวๆลมหนาวอะครับ ผมก็เดินลงมาตามปกติระหว่างที่กำลังจะถึงชั้นล่างผมได้ยินเสียงประตูเหล็ก ครืดๆเลื่อนลงมาเหมือนจะปิดผมเลยรีบวิ่งลงแต่เห็นลุงภารโรงหันหลังเดินไปแล้วผมเลยตะโกนบอกลุงภารโรง ลุงครับ!! มีคนอยู่ข้างในครับ
ตอนที่ลุงภารโรงได้ยินเสียงผมเหมือนแกจะตกใจด้วยครับ แกก็หันมาเห็นผมอยู่ข้างในแกเลยบอกว่าให้ผมออกอีกประตูของอีกฝั่งนึงของอาคารเพราะแกเพิ่งจะมาปิดแค่ทางเดียวกำลังจะไปปิดประตูอีกทางนึง ผมก็เดินขึ้นอาคารอีกครั้งผมเดินขึ้นชั้น 2 แล้วเดินตามแนวระเบียงหน้าห้องมาได้ไม่ถึงก้าวผมได้ยินดนตรีไทยดังแว่วๆ มาจากชั้นบนอาคารผมหลับตารีบเดินเลยแล้วสิ่งที่ทำให้ผมสติไม่อยู่กับตัวคือเสียงดนตรีไทยมันดังตามลำโพงของอาคารที่เป็นเสียงตามสายตอนนั้นผมสติไม่อยู่กับตัวแล้วครับผมวิ่งๆแล้วได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งตามผมไม่กล้าหันไปมองครับกลัวมากๆพอผมลืมตาขึ้นมาขาผมอ่อนเลยไม่มีแรงจะเดินต่อเลยเหมือนมีใครเอานวมมาต่อยที่หน้าผม
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือความมืดมีแค่แสงจันทร์กับแสงไฟสลัวๆเท่านั้นที่ทำให้ผมเห็นป้ายว่าผมอยู่หน้าห้องประวัติศาสตร์ ถูกครับนั้นหมายความว่าผมขึ้นมาชั้น3ได้ไง ตอนนั้นเหมือนโลกหมุนครับสติผมไม่อยู่แบบจริงๆผมวิ่งครับแต่เหมือนมันมีแรงโน้มถ่วงอะไรซักอย่างมารั้งผมไว้วิ่งไม่ออกขาสั่นไปหมดและสิ่งต่อไปนี้แหล่ะครับคือสิ่งที่ผมจะจำไปจนตาย(ขนาดผมพิมพ์อยู่ขนลุกแล้วครับ) ผมเห็นผู้หญิงใส่ชุดข้าราชการครูยืนหันหลังให้ผมทำท่าตั้งวงรำอยู่สุดอีกฟากนึงของอาคารก็ไกลพอสมควร ผมทรุดเลยครับ ผมกลัวมากผมล้มลงหลับตายกมือไหว้ท่านเลยผมพูดไม่เป็นภาษาเลยตอนนั้นรู้สึกเหมือนสมองมันโล่งๆไปหมด..
และมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมลืมตาขึ้นมา สิ่งตรงหน้านั้นมันเป็นอะไรที่ PEAK!! และ SHOCK!! มากสำหรับผม..
ผมไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นที่พื้นแต่ผมเห็นเขายืนห้อยหัวมาจากเพดานเท้าติดเพดานหัวห้อยลงมายืนท่าเดิมครับตั้งวงรำ ผมค้างแล้วครับเหมือนโดนสะกด สักพักผู้หญิงคนนั้นวิ่งครับวิ่งไปทำท่ารำไป!! วิ่งทั้งๆที่ห้อยหัวอยู่.. แล้วพูดเสียงดังหน้ากลัวมากครับเสียงใหญ่ๆดุๆว่า “ฉันจะรำให้เธอดู”สิ้นเสียงนั้น ร่างผู้หญิงคนนั้นก็ตกกับพื้นดังตุ้บ!! ผมผวามากขยับตัวไม่ได้
ขยับตัวไม่ได้พูดไม่ออก ร่างนั้นค่อยๆคลานเข้ามาหาผมตาแดงกล่ำเลือดเต็มชุดข้าราชการครูแล้วพูดว่า “รำสวยพอไหม” ผมวืดแล้วครับหมดสติแล้วผมหลับตาแล้วแต่ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะดังอยู่ในหูตลอด มันก้องกังวานไปหมดดังอยู่ในส่วนลึกของประสาทผม..
ผมรู้สึกตัวอีกทีผมสะดุ้งด้วยความตกใจและสั่นผวาไปหมดตอนนั้นผมก็อยู่ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในสระบุรี ผมร้องไห้เหมือนคนบ้าเหมือนคนไม่มีสติพยาบาลก็มาบอกให้ผมใจเย็นๆรวมทั้งพ่อกับแม่และพี่สาวผมด้วยผมพูดไม่ออกหมอฉีดยานอนหลับให้ผม ผมหลับไป3วันเต็มๆพอผมได้สติผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครอบครัวผมฟังพ่อกับแม่ผมไปทำเรื่องขอขมาให้แล้ว ผมไม่กล้ากลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้นอีกเลยครับผมยอมดร้อปไปเรียนไป1ปี พ่อแม่ก็เข้าใจผมและผมก็ย้ายกลับจังหวัดขอนแก่นไปเรียนม.4ใหม่อีก1ปี
ทราบมาว่าครูคนนั้นคือครูนาฏศิลป์ที่เสียชีวิตโดนรถสิบล้อชนร่างกระเด็นไกลกว่า20กว่าเมตร ครูคนนี้เป็นครูที่โหดและดุมากใครรำไม่สวยจะโดนไม้เรียวฟาดไม่ยั้งและเป็นครูที่ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ลูกศิษย์เขาไม่ชอบให้ใครมามองเวลาลูกศิษย์เขาซ้อมรำปกติแล้วห้องนาฏศิลป์ที่โรงเรียนนี้จะปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลาซ้อมรำจะไม่มีใครได้เห็นหากใครได้เห็นจะต้องมีอันเป็นไป มีนักเรียนใหม่ครับไม่เชื่ออยากลองดีไปเอาหูแนบฝาพนังห้องนาฏศิลป์ขณะมีการซ้อมรำอยู่
ตอนออกจากโรงเรียนตกบันไดสะพานลอยอย่างไม่มีสาเหตุขาหักเลยครับ ส่วนเรื่องของผมนั้นคือเรื่องมันมีอยู่ว่า ผมนั่งฝึกวาดภาพหน้าระเบียงกับรุ่นพี่ม.5อยู่ครับ คือตอนที่นางรำเปิดประตูออกมาทำอะไรซักอย่างผมมองเข้าไปพอดีแต่ที่แปลก รุ่นพี่ม.5เหมือนจะพูดอะไรกับผมซักอย่างแต่ไม่กล้าพูด พอผมมองเข้าไปคนที่ซ้อมรำมองหน้าผมแบบมีอะไรซักอย่าง แล้วรีบปิดประตูอย่างเร็วเลยครับผมเลยพูดลอยๆว่า “โอ้ยกลัวจะเห็นรึไงปิดหมดซ่ะขนาดนั้น” รุ่นพี่ม.5เดินหนีผมเลยครับเขาไม่พูดกับผมเลยครับ และผมก็เจอเรื่องสยองขวัญครั้งแรกของผมเลยครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเรื่องราวหลอนๆที่ซาลาเปาเอามาฝากในวันนี้ ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาติดตามและรับชมกันมาด้วยดีตลอดมาไว้พบกันในครั้งต่อไป หวังว่าทุกคนคงจะชอบอ่านกันนะครับ สำหรับตอนนี้สวัสดีครับ
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ ผมเป็นเด็กในจังหวัดทางภาคอีสาน ย้ายเข้ามาอยู่กับครอบครัวในจังหวัดสระบุรีครับแล้วผมก็ย้ายมาเรียนต่อม.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้
เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงนั้นเป็นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูหนาวก็จะมืดเร็วครับ ช่วงนั้นเป็นงานเกี่ยวกับการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ซึ่งผมก็จะได้ร่วมการแข่งขันด้วย ผมได้รับเลือกเข้าการแข่งขัน Drawing (วาดภาพลายเส้น) ซึ่งคุณครูที่ฝึกสอนผมจะเข้มงวดมากคือจะให้ผมและคนอื่นๆที่จะไปแข่งขันได้ซ้อมกันจนเย็นเกือบทุกวันครับเสาร์อาทิตย์ก็ต้องมาซ้อม ซึ้งผมก็ต้องยอมใจซ้อมครับ วันนั้นก่อนการแข่งขัน2วันจะเป็นวันที่ผมซ้อมหนักมากๆเลิกซ้อมก็เกือบๆ1ทุ่มครับ
ซึ่งตอนผมเดินลงมากจากอาคารก็3ชั้นครับผมอยู่ชั้น4เดินลงมาคนเดียวเพราะคนอื่นๆกลับกันหมดแล้ว ส่วนคุณครูกำลังเก็บของส่วนตัวของท่านอยู่ผมเลยขอตัวลงมาก่อนเพราะมันก็มืดแล้ว(ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวด้วยครับมันมืดเร็ว) ตอนที่ผมเดินลงบันไดระหว่างชั้น4ลงไปชั้น3 ซึ่งอยู่ในช่วงชั้น3ของอาคารนะครับผมได้ยินเหมือนคนวิ่งด้วยความเร็วเหมือนวิ่งแข่งกันครับได้ยินแต่เสียงวิ่งนะครับเสียงเท้ากระทบพื้นแต่ไม่ได้ยินเสียงคนพูดหรือเล่นกันซึ่งผมไม่ได้คิดไรมากผมคิดว่ามีคนอยู่มีนักเรียนที่เตรียมตัวแข่งขันหมวดสังคมอยู่แน่ๆ(ชั้น3เป็นชั้นหมวดสังคมฯครับ)ผมก็ไม่ได้เดินไปดูตรงแนวหน้าห้องของอาคารครับ
ผมก็เดินลงอาคารตามปกติแต่พอผมเดินมาถึงชั้นล้างผมลืมไปเลยว่าผมเดินมาตัวเปล่าผมลืมหยิบรองเท้า ของผมมาด้วยผมเลยเดินย้อนกลับขึ้นไปบนอาคารใหม่(ผมนี้ขี้ลืมจริงๆ) ระหว่างที่ผมกำลังจะขึ้นไปชั้น4กลับไปเอารองเท้าของผมนั้น ผมได้เดินสวนกับคุณครูตรงระหว่างชั้น2 คุณครูท่านทำหน้าตื่นๆเหมือนเป็นอะไรผมก็ไม่ได้ถามอะไรท่านครับผมก็ยิ้มเจื่อนๆให้ท่านไป คุณครูเลยทักผมว่าผมจะไปไหน ผมเลยบอกท่านไปว่า “ไปเอารองเท้าครับผมลืมรองเท้าไว้ข้างบน” แล้วคุณครูก็บอกกับผมว่า “งั้นครูไปก่อนนะครูรีบ”
ผมก็โอเคครับคิดว่าคุณครูท่านคงจะมีธุระ ผมก็เลยไหว้ลาท่านอีกครั้งนึง.. พอผมขึ้นไปเอารองเท้าเสร็จแล้ว ผมก็เดินลงบันไดอีกครั้งทีนี้ล่ะครับที่น่าแปลกคือ.. พอเดินลงจากชั้น4 ผมเห็นว่าชั้น3มืดมิดทั้งชั้นเลยครับผมคิดว่าไฟตกหรือเปล่าชั้น3คือไฟดับหมดเลยครับผมก็เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วครับเพราะตอนขึ้นมาไฟยังติดอยู่เลย อากาศก็เย็นยะเยือกซะเหลือเกินเสียงลมก็หวิวๆลมหนาวอะครับ ผมก็เดินลงมาตามปกติระหว่างที่กำลังจะถึงชั้นล่างผมได้ยินเสียงประตูเหล็ก ครืดๆเลื่อนลงมาเหมือนจะปิดผมเลยรีบวิ่งลงแต่เห็นลุงภารโรงหันหลังเดินไปแล้วผมเลยตะโกนบอกลุงภารโรง ลุงครับ!! มีคนอยู่ข้างในครับ
ตอนที่ลุงภารโรงได้ยินเสียงผมเหมือนแกจะตกใจด้วยครับ แกก็หันมาเห็นผมอยู่ข้างในแกเลยบอกว่าให้ผมออกอีกประตูของอีกฝั่งนึงของอาคารเพราะแกเพิ่งจะมาปิดแค่ทางเดียวกำลังจะไปปิดประตูอีกทางนึง ผมก็เดินขึ้นอาคารอีกครั้งผมเดินขึ้นชั้น 2 แล้วเดินตามแนวระเบียงหน้าห้องมาได้ไม่ถึงก้าวผมได้ยินดนตรีไทยดังแว่วๆ มาจากชั้นบนอาคารผมหลับตารีบเดินเลยแล้วสิ่งที่ทำให้ผมสติไม่อยู่กับตัวคือเสียงดนตรีไทยมันดังตามลำโพงของอาคารที่เป็นเสียงตามสายตอนนั้นผมสติไม่อยู่กับตัวแล้วครับผมวิ่งๆแล้วได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งตามผมไม่กล้าหันไปมองครับกลัวมากๆพอผมลืมตาขึ้นมาขาผมอ่อนเลยไม่มีแรงจะเดินต่อเลยเหมือนมีใครเอานวมมาต่อยที่หน้าผม
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือความมืดมีแค่แสงจันทร์กับแสงไฟสลัวๆเท่านั้นที่ทำให้ผมเห็นป้ายว่าผมอยู่หน้าห้องประวัติศาสตร์ ถูกครับนั้นหมายความว่าผมขึ้นมาชั้น3ได้ไง ตอนนั้นเหมือนโลกหมุนครับสติผมไม่อยู่แบบจริงๆผมวิ่งครับแต่เหมือนมันมีแรงโน้มถ่วงอะไรซักอย่างมารั้งผมไว้วิ่งไม่ออกขาสั่นไปหมดและสิ่งต่อไปนี้แหล่ะครับคือสิ่งที่ผมจะจำไปจนตาย(ขนาดผมพิมพ์อยู่ขนลุกแล้วครับ) ผมเห็นผู้หญิงใส่ชุดข้าราชการครูยืนหันหลังให้ผมทำท่าตั้งวงรำอยู่สุดอีกฟากนึงของอาคารก็ไกลพอสมควร ผมทรุดเลยครับ ผมกลัวมากผมล้มลงหลับตายกมือไหว้ท่านเลยผมพูดไม่เป็นภาษาเลยตอนนั้นรู้สึกเหมือนสมองมันโล่งๆไปหมด..
และมันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมลืมตาขึ้นมา สิ่งตรงหน้านั้นมันเป็นอะไรที่ PEAK!! และ SHOCK!! มากสำหรับผม..
ผมไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นที่พื้นแต่ผมเห็นเขายืนห้อยหัวมาจากเพดานเท้าติดเพดานหัวห้อยลงมายืนท่าเดิมครับตั้งวงรำ ผมค้างแล้วครับเหมือนโดนสะกด สักพักผู้หญิงคนนั้นวิ่งครับวิ่งไปทำท่ารำไป!! วิ่งทั้งๆที่ห้อยหัวอยู่.. แล้วพูดเสียงดังหน้ากลัวมากครับเสียงใหญ่ๆดุๆว่า “ฉันจะรำให้เธอดู”สิ้นเสียงนั้น ร่างผู้หญิงคนนั้นก็ตกกับพื้นดังตุ้บ!! ผมผวามากขยับตัวไม่ได้
ขยับตัวไม่ได้พูดไม่ออก ร่างนั้นค่อยๆคลานเข้ามาหาผมตาแดงกล่ำเลือดเต็มชุดข้าราชการครูแล้วพูดว่า “รำสวยพอไหม” ผมวืดแล้วครับหมดสติแล้วผมหลับตาแล้วแต่ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะดังอยู่ในหูตลอด มันก้องกังวานไปหมดดังอยู่ในส่วนลึกของประสาทผม..
ผมรู้สึกตัวอีกทีผมสะดุ้งด้วยความตกใจและสั่นผวาไปหมดตอนนั้นผมก็อยู่ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในสระบุรี ผมร้องไห้เหมือนคนบ้าเหมือนคนไม่มีสติพยาบาลก็มาบอกให้ผมใจเย็นๆรวมทั้งพ่อกับแม่และพี่สาวผมด้วยผมพูดไม่ออกหมอฉีดยานอนหลับให้ผม ผมหลับไป3วันเต็มๆพอผมได้สติผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครอบครัวผมฟังพ่อกับแม่ผมไปทำเรื่องขอขมาให้แล้ว ผมไม่กล้ากลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้นอีกเลยครับผมยอมดร้อปไปเรียนไป1ปี พ่อแม่ก็เข้าใจผมและผมก็ย้ายกลับจังหวัดขอนแก่นไปเรียนม.4ใหม่อีก1ปี
ทราบมาว่าครูคนนั้นคือครูนาฏศิลป์ที่เสียชีวิตโดนรถสิบล้อชนร่างกระเด็นไกลกว่า20กว่าเมตร ครูคนนี้เป็นครูที่โหดและดุมากใครรำไม่สวยจะโดนไม้เรียวฟาดไม่ยั้งและเป็นครูที่ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ลูกศิษย์เขาไม่ชอบให้ใครมามองเวลาลูกศิษย์เขาซ้อมรำปกติแล้วห้องนาฏศิลป์ที่โรงเรียนนี้จะปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลาซ้อมรำจะไม่มีใครได้เห็นหากใครได้เห็นจะต้องมีอันเป็นไป มีนักเรียนใหม่ครับไม่เชื่ออยากลองดีไปเอาหูแนบฝาพนังห้องนาฏศิลป์ขณะมีการซ้อมรำอยู่
ตอนออกจากโรงเรียนตกบันไดสะพานลอยอย่างไม่มีสาเหตุขาหักเลยครับ ส่วนเรื่องของผมนั้นคือเรื่องมันมีอยู่ว่า ผมนั่งฝึกวาดภาพหน้าระเบียงกับรุ่นพี่ม.5อยู่ครับ คือตอนที่นางรำเปิดประตูออกมาทำอะไรซักอย่างผมมองเข้าไปพอดีแต่ที่แปลก รุ่นพี่ม.5เหมือนจะพูดอะไรกับผมซักอย่างแต่ไม่กล้าพูด พอผมมองเข้าไปคนที่ซ้อมรำมองหน้าผมแบบมีอะไรซักอย่าง แล้วรีบปิดประตูอย่างเร็วเลยครับผมเลยพูดลอยๆว่า “โอ้ยกลัวจะเห็นรึไงปิดหมดซ่ะขนาดนั้น” รุ่นพี่ม.5เดินหนีผมเลยครับเขาไม่พูดกับผมเลยครับ และผมก็เจอเรื่องสยองขวัญครั้งแรกของผมเลยครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเรื่องราวหลอนๆที่ซาลาเปาเอามาฝากในวันนี้ ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาติดตามและรับชมกันมาด้วยดีตลอดมาไว้พบกันในครั้งต่อไป หวังว่าทุกคนคงจะชอบอ่านกันนะครับ สำหรับตอนนี้สวัสดีครับ