ลองเสียเวลาอ่านดู กฎแห่งกรรม “น้ำตาแม่ตก”


 

ลองเสียเวลาอ่านดู กฎแห่งกรรม “น้ำตาแม่ตก”

เมื่อสมัยตัวของข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยพูดว่า ใครไม่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ผู้นั้นคบไม่ได้ ท่านห้ามไม่ให้คบเลย

เพียงพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นพระคุณสูงสุดของเรา ให้ความรัก ให้ความเป็นห่วง ให้ความเมตตาปรานี ไม่มีใครจะรักเราหวังดีต่อเรามากเท่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า มีอยู่ในโลกเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อท่านล้มหาย ต า ย จากไปแล้ว หาไม่ได้อีก ลูกชั่วมันไม่รู้พระคุณพ่อแม่แล้ว มันยังเนรคุณอีก แล้วใครจะคบมันได้ คนพวกนี้ไม่ซื่อกับใคร

ข้าพเจ้าก็เพียงจำเอาไว้ว่า คนที่ไม่เคารพพ่อแม่ของตัวนั้นเป็นคนคบไม่ได้ มันก็คบเพื่อนที่ดีไม่ได้เพราะคนดีเขาก็ไม่คบ คงจะคบได้แต่พวกอกตัญญูพวกนิสัยชั่วเหมือนกัน ผู้ใหญ่สมัยก่อนสอนเด็กพวกลูกหลานว่า ใครหรือลูกคนใดทำให้พ่อแม่ช้ำอกช้ำใจจนถึงน้ำตาตก คนผู้นั้นก็บาปหนัก จะต้องได้รับกรรมตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า หนีกรรมที่ตนทำไว้ไม่พ้น

ข้าพเจ้าได้ฟังคำของผู้ใหญ่ก็จดจำไว้ รู้ว่าเพื่อนคนไหนมีประวัติไม่เคารพพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ก็ไม่ยอมคบให้ความสนิทสนม และต่อมาได้ติดตามดูการครองชีวิตของคนผู้นั้น ไม่มีความเจริญมีแต่ความเสื่อม สุดท้ายกรรมตามสนอง มีลูกก็ไม่มีความกตัญญูแก่ตัว เช่นเดียวกับตัวได้ทำกับพ่อแม่ในอดีต นี่เป็นผลกรรม

ข้าพเจ้าได้รับบันทึกจากพระภิกษุรูปหนึ่ง เขียนมาจากวัดโขดทิมราชธาราม ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้บันทึกเรื่องที่ท่านได้ประสบการณ์เกิดขึ้นก่อนอุปสมบท ครั้งท่านยังเป็นฆราวาสในบันทึกของท่านได้เขียนว่า

อาตมาได้ประสบการณ์พบเห็นเรื่องจริงได้เกิดขึ้นแล้วด้วยตัวของอาตมาเอง เห็นว่าเข้ากับในชุด “กฎแห่งกรรม” ที่คุณโยมเขียน เพราะอาตมาได้อ่านชุด “กฎแห่งกรรม” รู้สึกมีประโยชน์มาก เพราะทำให้ผู้อ่านจิตใจสบายขึ้น อาตมาจึงได้บันทึกความจริงส่งมาให้ อยากให้คุณโยมพิจารณาดู เรื่องบุคคลที่ได้สร้างกรรมทำชั่วไว้กับผู้เป็นแม่ผู้มีพระคุณสูงยิ่ง ขาดความกตัญญูแล้วหนีไม่พ้นกรรมตามสนอง ตามสนองในชาตินี้ พอรู้ตัวว่าผิดก็หมดลมหายใจ

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเวลาที่อาตมารับราชการเป็นพนักงานแผนกที่ดิน อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีเพื่อนร่วมโรงเรียนจบพร้อมกันและมีอายุเท่ากัน ปีเดียวกัน แต่ทำงานคนละแผนกในอำเภอเดียวกัน วันหนึ่งในเวลาราชการ

อาตมาเดินออกจากแผนกที่ดินเพื่อนำหนังสือมาเสนอให้นายอำเภอลงนาม ก่อนที่จะเข้าห้องนายอำเภอ ต้องผ่านหน้าห้องมีโต๊ะปลัดอำเภอตั้งอยู่ เห็นโยมแม่ของเพื่อนยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างโต๊ะปลัด เห็นเพื่อนผู้เป็นลูกยืนแสดงสีหน้าเครียดกำลังอารมณ์เสีย ขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ อาตมายืนนิ่งฟังอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุ ที่สุดก็จับใจความได้ว่า เพื่อนผู้นี้กำลังจะไล่แม่ให้ออกจากบ้าน ไม่สนใจว่าแม่จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน

อาตมาฟังแล้วต้องชะงักยืนงง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเพื่อนจะใจเหี้ยมโหดรุนแรงถึงเพียงนี้ อาตมาคิดแล้วก็เศร้าใจ เพราะเพื่อนผู้นี้เคยจบหกพร้อมกันที่โรงเรียนระยองมิตรอุปถัมภ์ และเวลานั้นเพื่อนก็มีภรรยาแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อมาพิจารณาดูตั้งแต่เพื่อนได้ภรรยาแล้วก็เปลี่ยนนิสัยไป ก่อนอยู่สองคนกับแม่ก็เป็นคนดี

อาตมาได้ยินปลัดอำเภอได้พยายามไกล่เกลี่ย เปรียบเทียบชี้ให้เห็นบุญบาป ที่ทำให้แม่เสียอกเสียใจถึงกับน้ำตาตก ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ อย่างน้อยอกน้อยใจ แต่ไม่ได้พูดรุนแรงกับลูก พูดจาเรียบๆ ไม่หยาบคาย เหมือนไม่โกรธตอบลูก แต่พูดให้ลูกเห็นใจ มิได้ใช้วาจาหยาบคายตามอารมณ์ ฟังแล้วก็คิดสงสาร เสียงผู้เป็นแม่พูดว่า
“แม่ได้ยกบ้านให้ลูกแล้ว เพียงแต่แม่อาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด และแม่ก็ไม่โกรธลูกที่ว่าแม่ ไล่แม่ แม่รู้ตัวว่าแม่แก่แล้ว อยู่ได้ไม่นานแม่ก็จะ ต า ย ลูกไม่ควรจะไล่แม่ไปอยู่ที่อื่น แล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไปอาศัยใครเขาก็คงรังเกียจคนแก่ ช่วยทำงานอะไรให้เขาก็ไม่ไหว เห็นแก่แม่ที่เลี้ยงลูกมาจนโตเถิด แม่แก่แล้วจะอยู่กับลูกไม่นานก็ ต า ย ”

อาตมายืนฟังด้วยความสลดใจ น้ำตามันจะไหลออกมา ข้าราชการบนอำเภอต่างก็หน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะความสงสารผู้เป็นแม่ คำพูดของแม่แต่ละคำมิได้พูดให้กระเทือนใจลูกเลย มีแต่คำอ้อนวอนให้ลูกมีความสงสารแม่เท่านั้น แต่ลูกกลับมีกิริยาทั้งขู่ทั้งตวาด ใช้วาจาหยาบคายต่อแม่บังเกิดเกล้า เสียงตวาดว่า

“ต้องออกจากบ้านเพราะบ้านเป็นของฉัน แม่ยกให้ฉัน ไม่ใช่ของแม่แล้ว แม่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ต่อไป แม่ไม่มีที่อยู่ ไปอยู่วัดก็ได้ ขอให้ไปพ้นบ้านฉัน”

อาตมาฟังแล้วมีความแค้นและเจ็บใจแทนผู้เป็นโยมแม่ของเพื่อน ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีจิตใจร้ายกาจเยี่ยงสัตว์เช่นนี้ พวกข้าราชการบนอำเภอต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาตมา มีแต่คนแช่งด่าชังน้ำหน้า ไม่มีใครยกย่องว่าเป็นคนดี

อาตมารู้สึกหูหน้าร้อนชา เลือดฉีดแรงขึ้นหน้าเพราะโกรธแทนโยมแม่ของเพื่อน สงสารและเห็นใจ นึกในใจเพื่อนอย่างนี้เลิกคบค้าสมาคมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาตมารู้ตัวดีจึงรีบเดินออกจากที่นั่น ก่อนที่จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ทนดูเพื่อนเป็นไอ้ลูกอกตัญญูไม่ไหว

ต่อจากนั้นอาตมาก็ไม่อยากทราบเรื่องให้เกิดความขุ่นใจเปล่าๆ เพราะอาตมาตัดการเป็นเพื่อนฝูงสิ้นสุดกันแล้ว อาตมาคิดว่าเพื่อนคนนี้ต่อไปจะไม่มีความเจริญ มีแต่จะเสื่อมลง กรรมจะต้องตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า

หลังจากนั้นต่อมาประมาณเดือนเศษ หรือสองเดือนอาตมาก็จำไม่ได้ ในปีเดียวกัน เพื่อนผู้นี้ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ซูซูกิ ๕๐ ซีซี มาทำงานที่อำเภอเป็นประจำ เช้าวันนั้นประมาณ ๘.๐๐ น. เพื่อนได้ขี่รถออกจากบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ ๖ กม. ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง เมื่อขี่จักรยานยนต์ผ่านมาถึงหน้าศาลากลางจังหวัด

เหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกเคยฝันก็เกิดขึ้น รถที่เพื่อนขี่มานั้นวิ่งตรงเข้าชนท้ายรถเมล์ที่จอดเฉยอยู่ข้างถนน เหมือนมีอาถรรพณ์เป็นเหตุให้รถแหลก ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัสมีผู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นเล่าว่า เมื่อเข้าช่วยพยุงร่างที่ไม่ได้สติออกมา เพื่อจะรีบนำตัวคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แต่พอรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก่อนที่เพื่อนของอาตมาจะสิ้นลมหายใจ ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนทารกแล้วรำพันเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“แม่จ๋า ลูกรู้ตัวว่าลูกผิดไปแล้ว แม่จ๋า อภัยให้ลูกด้วยแม่อยู่ไหน” พอสิ้นเสียงก็สิ้นใจ

เมื่อรู้ถึงผู้เป็นแม่ว่า ลูกชายเกิดอุบัติเหตุ ก็ตกใจลืมเรื่องที่ลูกเคยไล่ให้แม่ออกจากบ้าน เหลือแต่ความรักความอาลัยที่มีต่อลูก เมื่อรู้ข่าวว่าลูก ต า ย ก็เหมือนใครมาควักเอาดวงใจออกจากร่าง ร้องออกมาว่า “โธ่ ลูกรัก เจ้าหนีแม่ไปแล้ว” ก็ร่ำไห้รำพันถึงความรักที่มีต่อลูกชายคนเดียวจนสิ้นสติสมประดี หมดอาลัยในชีวิตที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป

นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า ความรักในโลกนี้ไม่มีใครรักลูกเกินกว่าแม่บังเกิดเกล้า แม้ลูกจะชั่วร้ายอกตัญญู ไม่รู้คุณทั้งยังทำให้แม่น้ำตาตกแม่ก็ยังรัก และยังให้อภัยลูกเสมอ แม่ฆ่าลูกไม่ได้ ขายลูกไม่ขาด

อาตมาอยากจะพูดว่า ลูกคนใดมีความเคารพกตัญญูต่อพ่อแม่บังเกิดเกล้า กรรมดีจะเป็นสิริมงคลมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตของผู้นั้น ตรงข้ามผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ กรรมชั่วนั้นจะตามสนอง เพราะไม่มีใครหนี “กฎแห่งกรรม” ไปได้ อยู่ที่เวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

งานฌาปนกิจ ศ พ เพื่อนอาตมาคนนี้ได้จัดขึ้น ณ เมรุวัดบ้างแลง ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง อาตมาก็ไปในงานเพราะรู้สึกเศร้าใจในชะตากรรมของเพื่อนอาตมา ที่เคยเกลียดเคยชังในการที่เพื่อนได้เคยปฏิบัติต่อแม่บังเกิดเกล้ามาแล้ว อาตมาก็ได้อโหสิกรรมให้หมดสิ้นไปแล้ว เพราะเพื่อนก็ได้รับเคราะห์กรรมตามสนองแล้ว งานประชุมเพลิงวันนั้น ผู้ไปในงานรู้ชีวิตเบื้องหลังของเพื่อน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ที่เพื่อนหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น บัดนี้ได้ตามสนองเพื่อนแล้ว คงจะเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังต่อไป..