Home »
Uncategories »
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทำไมเด็กจบใหม่เดินเตะฝุ่นว่างงานกันขนาดนี้
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทำไมเด็กจบใหม่เดินเตะฝุ่นว่างงานกันขนาดนี้
ต้องบอกเลยว่าเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก
สำหรับ ปัญหาการว่างงาน ตกงานของเด็กจบใหม่ ไม่มีงานทำเตะฝุ่นกันตรึม
โดนปัญหาการว่างงานหลักๆ ส่วนใหญ่มาจากแรงงานกว่า 63% จบปริญญาตรีมา
ซึ่งสาขาที่จบการศึกษามานั้น
เป็นสายสามัญที่ตลาดอาชีพไม่ค่อยต้องการสักเท่าไหร่
จึงทำให้มีโอกาสหางานยากกว่าสาขาอื่นๆ
ล่าสุด ทางด้านสมาชิกพันทิป
จ้ำจี้มะเขือเปาะแปะ
ได้โพสต์สอบถามเกี่ยวกับปัญหาเด็กจบใหม่เตะฝุ่นนี้กับชาวพันทิปว่า
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทำไมมีเด็กจบใหม่เดินเตะฝุ่นว่างงานกันขนาดนี้
ชาวพันทิปจะมีความคิดเห็นกันยังไงบ้างนั้นตามไปดูกันเลยครับ
ประเทศอื่นเจอวิกฤตแบบนี้เหมือนกับบ้านเราบ้างไหมครับ งงมาก ไม่เลือกงานไม่ยากจน
ความคิดเห็นจากชาวเน็ต
จากประสบการณ์ที่สัมภาษณ์นักศึกษาจบใหม่มา พบว่าส่วนใหญ่มักจะมีข้อเสียสำคัญประมาณนี้ครับ
-
ไม่มีความรู้เชิงทฤษฎีเพียงพอที่จะเรียกได้ว่าเหนือกว่าพนักงานธรรมดาที่ทำงานด้านนั้นมาสักระยะ(ไม่พอที่จะให้เป็นหัวหน้าคุมพนักงานได้โดยมีความรู้เชิงวิชาการเป็นที่ยอมรับ)
- เรียกรายได้เกินกว่าความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีไปมาก(บางครั้งมากกว่าคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว 5 ปี)
-
ระหว่างสอนงานไม่แสดงความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้งานเท่าที่ควร เช่น
ไม่จดบันทึกขณะสอน, ไม่เรียนรู้ลำดับความสำคัญก่อน-หลังของงาน,
เลือกทำเฉพาะงานที่ง่าย ส่วนงานที่ยากกว่ามักจะหลีกเลี่ยงที่จะทำ
และมักจะขอให้สอนซ้ำบ่อยเกินไปจนไปเบียดบังงานคนอื่น
- มีความอดทนต่ำ เช่น
ทนต่อการวิจารณ์ไม่ได้ ทนต่อการนินทาไม่ได้เลย
มักแสดงกิริยาก้าวร้าวให้เห็นได้ง่ายมากหากไม่พอใจ(เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของสังคมการทำงาน
แต่นักศึกษาจบใหม่มักจะไม่พยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจที่จะอยู่ร่วม)
- เชื่อมั่นในตนเองสูงว่าตนเองถูก
ว่าตนเองเรียนมา ว่าตนเองมีใบปริญญา
จึงมักอยู่ร่วมกับพนักงานที่ทำงานมาก่อนหรือมีศักดิ์ต่ำกว่าไม่ค่อยได้
-
มีความกระหายต่อความก้าวหน้าสูงมาก ทำให้มีความคาดหวังสูงมาก
เมื่อถูกประเมินต่ำกว่าที่คาดหวัง
จึงทำให้ไม่พอใจและเริ่มมีเจตคติเชิงลบต่อผู้ประเมิน ผู้ร่วมงาน
หรือบริษัทฯ และบางคนมีการแสดงออกชัดเจน
- มีความอยากเป็นนายตนเองสูง อยากทำธุรกิจส่วนตัว ขายของออนไลน์ ทำให้ไม่เต็มที่กับงานประจำ เบียดเบียนผู้ร่วมงาน
- จากเท่าที่กล่าวมาข้างต้น
จึงมักเป็นเหตุให้ไม่ผ่านงานหรือเป็นเหตุให้พนักงานลาออกจากบริษัทฯไปพร้อมกับเจตคติทางลบต่อบริษัทฯ
แต่ก็มีนักศึกษาจบใหม่บางส่วนที่เป็นพนักงานที่ทำงานได้ดี มีเหตุผล
มีความกล้าที่จะแย้งอย่างสุภาพ
และบางคนก็มีความกล้าที่จะยอมรับว่าตนเองผิดและยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง
คนพวกนี้มักจะทำงานได้ดี ผิดพลาดต่ำ และอยู่ได้นาน คงเพราะมีมารยาท
รู้จักการวางตัว ปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้
เดี๋ยวนี้ผมจึงเลือกพนักงานเข้าทำงานยากกว่าเดิมมาก
เพราะการเลือกเข้ามาทำงาน สอนงาน แล้วไม่นานก็ลาออกนี่ เสียเวลามากครับ
บางคนก้าวร้าว มีทัศคติที่ทำลายสภาพแวดล้อมขององค์กรอีก
อันนี้ทำให้การทำงานเป็นทีมเป็นไปด้วยความลำบากมากขึ้น
ปล
ความเห็นพวกนี้เป็นความเห็นจากประสบการณ์ผมล้วนๆ
ไม่ใช่ว่านักศึกษาจบใหม่จะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือทุกข้อ บางคนก็ปะปนกันไป
บางคนก็เรียนรู้และปรับปรุงตัว บางคนก็ดีแทบจะไม่มีข้อเสีย
แต่เหตุผลพวกนี้มักเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องไม่ผ่านงานหรือลาออก
ลองมองในมุมของเด็กจบใหม่และเด็กที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ ดูครับ บริษัทเลือกเด็ก เด็กก็เลือกบริษัทได้เหมือนกันครับ...
1.
บริษัทกดเงินเดือนจนไม่ดูความเป็นจริง : ผมเคยไปสัมภาษณ์งานที่อโศก
รีเควสใบ Certificate ภาษาที่ 3, TOEIC 750+,
มีช่วงที่ต้องทำงานนอกเวลาและนอกสถานที่กลับดึก แต่ไม่มี OT
ไม่มีค่าเดินทางให้ ไม่ยอมบอกเงินเดือนก่อนสัมภาษณ์ บอกว่าต่อรองได้
มาบอกตอนรับเข้าว่า 15,000 ก็บายสิครับ
(บอกมาแต่แรกก็ไม่ต้องเสียเวลาทั้งคู่)
ยิ่งเด็กต่างจังหวัดที่ต้องเช่าห้องเองยิ่งแล้วใหญ่ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ มันก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว
ถ้าต้องส่งให้ที่บ้านด้วยก็อย่าหวังเลยครับ ลองไปดูเว็บหางาน ป.ตรี
10,000-12,000 ก็มี
สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบของ HR บางที
คือการลักไก่บอกเงินเดือนไม่ตรงกับที่ได้จริง ทั้งที่เขียนไว้ชัดเจนว่า
สตาร์ทเท่านี้ในประกาศ...สักแต่ว่าประกาศไปให้คนสนใจมาสมัครเยอะๆ
จะได้มีตัวเลือกให้เลือกหลายคน
แล้วค่อยรับคนที่ยอมรับเงินเดือนต่ำสุดเอาไว้
บางบริษัทเขียนบอกว่าตามโครงสร้างของบริษัทนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตกลงกัน
แต่การที่คุณประกาศมันลงไปแล้ว คุณก็ต้องจริงใจกับผู้สมัครเหมือนกัน
ให้โอกาสผู้สมัครได้เลือกได้ตัดสินใจคำนวณว่ามันคุ้มกับอะไรหลายๆ อย่างไหม
เพราะเวลาไปสัมภาษณ์ของผู้สมัครก็มีค่าเสียโอกาสค่าใช้จ่ายนู้นนี้นั้นเหมือนกัน
คุณไปหลอกให้มาสัมภาษณ์แล้วผู้สมัครไม่เอา มันก็เสียเวลาทั้งคู่ไหม
คุณอาจจะไม่ค่อยเสียอะไรเพราะเรียกมาทีหลายคนแล้วเลือกคนที่เหมาะสุดได้
แต่ผู้สมัครที่ไม่โอเคกับการโดนหลอกมาตั้งแต่แรกละ?
สุดท้ายบางคนหางานที่เงินเดือนเหมาะสมไม่ได้ ก็ผลันตัวมาค้าขาย, ช่วยธุรกิจที่บ้านหรือเรียนต่อแทน
2.
ไม่ควรอดทนกับอะไรที่ไม่จำเป็นและไม่มีเหตุผลครับ :
วัฒนธรรมหลายบริษัทไทยชอบให้เคารพผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ไม่เคย
"เคารพในความเป็นคน" ของคนอื่นเลย อดทนกับงานทุกคนต้องเรียนรู้อยู่แล้ว
แต่อดทนรองรับอารมณ์ให้มีพฤติกรรม Aggressive/Abusive
นี่คือรับไม่ได้เลยครับ (อย่ามาบอกผมนะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการอดทนต่องาน
ไม่งั้นประเทศที่เจริญแล้วเขาคงไม่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรอกครับ)
ถ้าพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ ใช้แต่อารมณ์คือจบสำหรับผมครับ
หัวหน้าหรือผู้ใหญ่บางคนบ้าอำนาจคิดว่าจะพูดอะไรกับเด็กกว่าก็ได้
โกรธใครก็ไม่รู้มาหรือโดนหัวหน้าใหญ่กว่าระเบิดมา ก็มาลงกับลูกน้อง
เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ความผิดของเด็กเลย เป็นความผิดของตัวเองด้วยซ้ำ
แต่ขอให้ระบายอารมณ์ก่อนเถอะ "พอเราพูดด้วยเหตุผล ก็กลายเป็นเถียง/แก้ตัว
ให้เหตุผลเท่าไรก็ไม่เคยพอใจ มองเป็นข้ออ้าง"
เรื่องบางเรื่องไม่เกี่ยวกับงานเลย เป็นเรื่องส่วนตัวด้วยซ้ำ
แต่ยกมาพูดสนองตัวเอง เช่น วิจารณ์รสนิยมทางเพศ วิจารณ์หน้าตาแฟนคนอื่น
ข้อ 2 สำคัญมากๆ
แต่หลายๆที่มองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
มองว่าเป็นเรื่องที่เจอและต้องทนอยู่แล้ว ใครจะมาหาข้ออ้างแบบนี้ให้
ผมขอจัดไว้รวมกับคนประเภทนั้นนะครับ
มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรระลึกว่าต้องเคารพกัน
ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งจะมีสิทธิละเมิดอีกฝ่ายได้
ไม่ใช่ว่ามันมีอยู่แล้วจำเป็นต้องทน สิ่งที่เราควรทำคือหยุดมัน
เพราะไม่มีใครสมควรที่จะต้องทนครับ...สังคมไทยบางคนมองว่า
ความรุนแรงทางคำพูดและอารมณ์เป็นเรื่องไม่ใหญ่เท่าความรุนแรงทางร่างกาย
แต่จริงๆ แล้วสุขภาพจิตมันก็สำคัญมากเท่ากับสุขภาพร่างกายนั้นแหละครับ
ไม่มีใครสมควรต้องมารองรับอารมณ์ความงี่เง่าของใคร
"เราควรจะตั้งคำถามกับคนกระทำ
ไม่ใช่มาตั้งคำถามกับเหยื่อว่าทำไมไม่อดทน"
แล้วมาบอกว่าเด็กใหม่เปราะบางไม่อดทน
เราไม่จำเป็นต้องอดทนอะไรกับสิ่งที่บั่นทอนชีวิต
"สังคมไม่ได้ดีขึ้นได้เพราะเราอดทนครับ
มันดีขึ้นได้เพราะเราต้องแก้ไขสิ่งที่ผิด"
3. ไม่เคารพเวลาส่วนตัว
เรียกร้องให้เสียสละ : ไลน์นี้ตัวดีเลย
คิดจะสั่งอะไรก็สั่งทางไลน์นอกเวลางานได้ ไม่ตอบไลน์โดนเรียกไปกินหัว
(ต่างประเทศมีกฎหมายพิจารณาว่ามันเป็นการละเมิดแล้วนะครับ)
งานด่วนช่วยรีบให้หน่อยนะ พอช่วยนอกเวลาก็จะโดนต่อมาอีกหลายงาน
เพราะคิดว่ายอมแล้วต้องยอมตลอด ไม่มี OT ให้อีก
ส่งงานช้าก็โดนด่าทั้งที่มาเร่งเอานอกเวลาในนาทีสุดท้าย...พูดคำพูดสวยหรูว่าอยากเห็นเราทุ่มเท่
อยากเห็นรับได้รับประสบการณ์
แต่ไม่ได้ตระหนักเลยว่ากำลังละเมิดเวลาส่วนตัวของคนอื่นอยู่
ถ้าตัวเองโดนบ้างก็คงไม่ชอบเหมือนกันหรอก ถึงได้ผลักมาให้เด็กทำแทนนี้ไง
ความดีความชอบจากงานก็ไม่รู้จะไปถึงเด็กรึเปล่า
ลองนึกดูนะครับว่า คุณโดนกดเงินเดือนเหมือนในข้อ 1 และเจอกระทำแบบข้อ 2 และ 3 มันจะรู้สึกยังไง
4. เด็กบางคนอาจมีความสามารถ แต่ไม่ถูกจ้างเพราะ
"ไม่ถูกใจรูปร่างหน้าตาบุคลิกภายนอก" : อันนี้จริงยิ่งกว่าจริง
ลองไปอ่านกระทู้ในพันทิพกับกระทู้ในทวิตที่ผู้หญิงไม่ถูกรับเข้าทำงาน
Receptionist เพราะ "ขาวไม่พอ" ดูนะครับ หรือไอ้ประโยคว่า "งานสอนกันได้
แต่หน้าตาต้องไปตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น" หรือ "ถ้าความสามารถเท่ากัน
ทำไมจะเลือกคนที่หน้าตาดีกว่าไม่ได้ละ"
บริษัทข้ามชาติจีนแห่งหนึ่งติดประกาศว่ารับเฉพาะชายจริงหญิงแท้ก็มี
หลากหลายความคิดเห็น
เป็นความคิดเห็นจากชาวเน็ตเกี่ยวกับปัญหาเด็กจบใหม่ว่างานกันเยอะ
ด้วยความต้องการของตลาด และสาขาที่จบส่วนมากไม่ตรงกับที่ตลาดต้องการเยอะ
จึงทำให้เตะฝุ่น แต่เชื่อว่าไม่เลือกงานไม่ยากจนยังใช้ได้