Home »
Uncategories »
พ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรให้ผมมากมาย แต่บทเรียนชีวิตล้ำค่ามาก
พ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรให้ผมมากมาย แต่บทเรียนชีวิตล้ำค่ามาก
พ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรให้ผมมากมาย แต่บทเรียนชีวิตล้ำค่ามาก
ทุกครอบครัวควรรู้ ฝึกเป็นผู้ให้ แล้วชีวิตจะมีความสุข
ในวันนี้เรามีเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
ทำอย่างไรให้มีความสุข ลองไปดูเรื่องราวเหล่านี้กันเลย
เชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้สึกยินดี
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่อ่านบทความนี้อย่างแน่นอน
“เงินสิบเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้น”
ตอนผมยังเป็นเด็ก พ่อพาผมไปดูละครสัตว์ พวกเราเข้าแถวรอซื้อตั๋วเข้าชม
กลุ่มที่อยู่หน้าเรา เป็นสมาชิกจากครอบครัวเดียวกัน ประกอบด้วยพ่อ แม่
และลูกๆอีกหกคน เด็กๆดูมีอายุต่างกันไม่มาก ไล่เลี่ยกันจาก 5-6 ขวบไปจนถึง
12-13 ขวบ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่แลดูสะอาดสะอ้าน
พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นเด็กมารยาทดีทั้งนั้น ทุกคนเข้าแถวเรียบร้อย
มือประสานมือซึ่งกันและกัน
เด็กทุกคนกำลังตื่นเต้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
รอที่จะได้เข้าไปดูตัวตลกที่เขาชื่นชอบ ดูช้างดูเสือที่พวกเขารอคอย
คืนนั้นน่าจะเป็นคืนที่มีความสุขที่สุดของพวกเขาทุกคน
คนเป็นแม่ก็หน้าตาสดชื่นอิ่มเอิบ ควงแขนสามีมองดูลูกๆอย่างมีความสุข
ในใจหล่อนอาจจะกำลังชมสามีว่า “คุณคืออัศวินที่ยิ่งใหญ่ของลูกๆ”
คนเป็นพ่อก็มองหน้าภรรยาตนด้วยสายตาอบอุ่น
ช่างดูเป็นครอบครัวที่มีความสุขเหลือเกิน
แล้วก็ได้เวลาที่พวกเขาจะได้ซื้อตั๋ว “ขอตั๋วเด็ก 6 ใบ ตั๋วผู้ใหญ่ 2 ใบ
เรามากันทั้งครอบครัวครับ”
คนเป็นพ่อพูดจาเสียงดังฟังชัดบอกคนขายตั๋วด้วยความภูมิใจ
คนขายตั๋วบอกจำนวนเงินที่เขาต้องจ่าย คนเป็นแม่ควักเงินออกจากกระเป๋า
นับแล้วนับอีก นับแล้วก็ยังนับอีกรอบ หล่อนเงยหน้าไปหาสามี
พร้อมแววตาที่มีกังวล ฝ่ายสามีมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
ถามคนขายตั๋วถึงราคาตั๋วอีกครั้ง
แน่นอนที่สุด เงินเขาไม่พอจ่ายค่าตั๋วแน่นอน
ทั้งสองมองดูหน้าตาเด็กๆที่กำลังมีความสุขอย่างที่สุด
เขาจะบอกลูกๆอย่างไรดีว่า “เรามีเงินไม่พอซื้อตั๋ว”
แม้พวกเขาจะพยายามค้นหาเงินเพิ่มจากกระเป๋าเสื้อผ้าทุกใบ
แต่เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เวลาผ่านไปพอประมาณ
จนเริ่มได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ต่อแถวยาวอยู่ข้างหลังดังขึ้นเรื่อยๆ
และมีสายตาติเตียนเหยียดหยามมองมาที่พวกเขา
แต่ทั้งคู่ก็ยังหาทางออกไม่ได้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี
พ่อของผมที่เข้าแถวต่อจากพวกเขา ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ
แล้วพ่อก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
หยิบเอาธนบัตรสิบเหรียญออกมาแล้วหย่อนใส่พื้น
(แท้จริงแล้วในเวลานั้น เงินสิบเหรียญเป็นเงินจำนวนมากพอสมควร และบ้านเราก็ไม่ใช่คนร่ำรวย)
แล้วพ่อก็ก้มตัวลงเก็บธนบัตรฉบับนั้นกลับขึ้นจากพื้น ตบไหล่คนเป็นพ่อบ้านครอบครัวนั้น ก่อนจะบอกเขาว่า
“ขอโทษ คุณทำเงินหล่นไปสิบเหรีญ”
คุณพ่อท่านนั้นหันมามองหน้าพ่อผมอย่างตกใจ
แต่แล้วดูเหมือนเขาจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใคร แต่เขาคงจะซาบซื้งใจอย่างที่สุด
ในช่วงเวลาวิกฤตและลำบากใจเช่นนั้น
มีคนใจดียื่นมือให้ความช่วยเหลือเขาอย่างแนบเนียนที่สุด
เขามองหน้าพ่อผมด้วยสายตาแห่งความปลาบปลื้ม จับมือพ่อผมเขย่าอยู่นาน
ธนบัตรฉบับนั้นถูกกำแน่นอยู่ท่ามกลางมือของผู้ชายสองคน เขาบอกพ่อผมว่า
“ขอบคุณมากๆ มันมีความหมายต่อครอบครัวผมอย่างที่สุด”
เราพ่อลูกเดินทางกลับบ้าน
แม้ผมจะไม่มีโอกาสได้ดูละครสัตว์ในคืนนั้นดั่งใจคาดหวัง
แต่พอนึกถึงสีหน้าที่ยิ้มย่องผ่องใสอย่างมีความสุขของเด็กๆหกคนนั้น
ใจผมก็พลอยเป็นสุขไปกับพวกเขาด้วย ผมไม่ได้เสียใจหรือผิดหวัง
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่พ่อทำคือสิ่งที่ดีที่สุด ผมบอกตัวเองว่า เมื่อโตขึ้น
ผมก็จะทำดีแบบเดียวกับที่พ่อทำ
แม้เหตุการณ์จะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนี้
มันยิ่งตอกย้ำทำให้ผมเข้าใจการกระทำของพ่อผมในคืนนั้นมากยิ่งขึ้น
พ่อไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ผมเชื่อว่าพ่อเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่
นอกจากความเมตตาปราณีที่พ่อยื่นให้ผู้อื่นแล้ว
แต่พ่อก็ยังเลือกวิธีที่จะช่วยประคองศักดิ์ศรีของผู้รับไว้อย่างนิ่มนวล
มันทำให้ผมตระหนักว่า
การทำดีอาจไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวโฆษณาหรือมีพิธีรีตองให้คนอื่นต้องรับรู้
แต่มันควรจะมาจากใจที่เปี่ยมความเมตตาเป็นพื้นฐานสำคัญ
ขอบคุณพ่อที่ทำตัวอย่างดีๆให้ผมได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็ก
พ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรให้ผมมากมาย
แต่บทเรียนชีวิตล้ำค่ามากมายที่พ่อมอบให้ผมนั้น
มันมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆเสียอีก
รักและเคารพพ่ออย่างที่สุดในชีวิต
ขอขอบคุณ : ขจรศักดิ์