Home »
Uncategories »
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ “วัววิเศษ”เป็นได้ทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ “วัววิเศษ”เป็นได้ทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง
ความโลภที่กำลังทำร้ายประเทศไทย
(บทความนี้ยาว แต่เขียนเพื่อเตือนสติคนไทย บทความนี้อาจแสลงใจ
แต่เขียนเพื่อชี้ให้เรามองไกลๆ บทความนี้ดูเผินๆ ไม่เกี่ยวกับเรา
แต่มันเกี่ยวกับเราโดยตรง)
ฝรั่งรายหนึ่งเขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งบอกว่าเขากับเพื่อน
ๆ จะไม่กลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก
และจะไม่แนะนำให้ใครมาเยือนประเทศนี้อย่างเด็ดขาด
เหตุผลเพราะตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่เมืองไทย ถูกคนขับแท็กซี่รุมสูบเลือด คิดราคาเหมาซึ่งสูงกว่าราคาจริงถึงสิบเท่า
บรรดาคนขับแท็กซี่รวมหัวกัน ดักหน้าดักหลัง ปิดประตูตีแมว
นักท่องเที่ยวไม่มีทางเลือก ก็ต้องยอมจ่าย พกพาความเจ็บแค้นกลับบ้าน
และสาปส่งประเทศคนขี้โกง
หลายปีที่ผ่านมาผมได้ยินเรื่องร้องเรียนอย่างนี้เสมอ
ผมอาศัยอยู่ในละแวกที่มีนักท่องเที่ยวมาก
วิถีชีวิตต้องพึ่งรถแท็กซี่ทำให้มีประสบการณ์ตรง
และมันเป็นความจริง เรากลุ่มหนึ่งทำให้นักท่องเที่ยวมาเมืองไทยด้วยหัวใจเริงร่า และพาหัวใจเกลียดชังกลับบ้าน
ซอยแถวบ้านผมเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มจัดสรรพื้นถนนสาธารณะให้เป็นที่จอดรถแท็กซี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ไม่อนุญาตให้รถของ ‘ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ จอด
รถแท็กซี่เหล่านี้จอดดักหน้าดักหลังนักท่องเที่ยว ไม่รับผู้โดยสารคนไทย วัน ๆ คนขับก็ไม่ทำอะไร รอเหยื่อต่างชาติผ่านทางมาให้ตีหัว
แต่คนขับแท็กซี่ย่อมไม่สามารถกระทำเรื่องอย่างนี้ได้หากระบบรักษากฎหมายไม่ถูกใช้ฉ้อฉล
พฤติกรรมนี้แพร่ไปทุกหัวเมืองที่มีนักท่องเที่ยว และในรูปต่าง ๆ เช่น
ราคาสองมาตรฐาน (Two-tiered pricing) ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยว วัดวาอาราม
ไปจนถึงโรงแรมและร้านอาหาร ทุกระบบออกแบบมาเพื่อปิดประเทศตีแมว
นี่เป็นเรื่องความโลภล้วน ๆ
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มลูกสูบ
มันกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเรา
แต่คนโลภกลุ่มหนึ่งกำลังทำให้คนไทยทั้งประเทศเสียหาย
ในโลกการสื่อสารไร้พรมแดน
การพูดด้านลบของใครหรือประเทศใดกระทำได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น
หากพฤติกรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไป ถึงจุดจุดหนึ่งในสายตาชาวโลก คำว่า ‘ไทย’
จะแปลว่า ‘ขี้โกง’
นิทานโบราณเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวนาคนหนึ่งได้ห่านวิเศษตัวหนึ่ง
มันออกไข่ทองคำทุกวัน วันละฟอง ชาวนารู้สึกว่ารวยไม่ทันใจ
จึงฆ่าห่านเปิดท้องหวังเอาไข่ทองคำทั้งหมด ปรากฏว่าในท้องห่านว่างเปล่า
ไม่มีไข่ทองสักใบเดียว
ชาวไทยอยู่ในแผ่นดินทอง ธรรมชาติสวยงาม เป็นห่านทองคำที่ประทานแก่เรา
แต่หากเราเกิดความโลภ จะเอามาก ๆ เร็ว ๆ
ไม่นานเราจะพบว่าไม่มีไข่ทองคำเหลืออยู่สักฟองเดียว
.………………..
ทางการตลาดมีคำศัพท์คำหนึ่ง cash cow
หมายถึงสินค้าหรือบริการที่สร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องและ ‘ชัวร์’
เป็นรายได้หลักขององค์กร ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท ก. ผลิตเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ประชาชนจำเป็นต้องซื้อดื่มทุกวัน
สินค้าชนิดนี้เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท สามารถใช้หากินไปได้ตลอด
สินค้าเข้าข่ายนี้เรียกว่า cash cow
คำนี้มีที่มาจากวัวนม ซึ่งชาวบ้านสามารถรีดนมได้ทุกวันไปเรื่อย ๆ (cash = เงินสด cow = วัว) เป็นบ่อเงินบ่อทอง เป็นห่านวิเศษ
การท่องเที่ยวของไทยเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ เท่ากับร้อยละ 15 ของ
จีดีพี. ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อปีมากกว่า 25 ล้านคน
ทำให้มีการจ้างงานราวสองล้านคน
รายรับจากการท่องเที่ยวของไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
นี่ไม่ใช่ cash cow ธรรมดา มันเป็นวัวเงินวัวทอง เป็น cash cow
ยักษ์ที่มีมูลค่ามหาศาล สามารถขุดหากินไปได้อีกนานแสนนาน
ตราบที่เราไม่ฆ่ามันเพราะความโลภเสียก่อน
แต่ทว่าทุกครั้งที่ฝูงปลาเน่ากระทำเรื่องแย่ ๆ เราก็กรีดแผลบนตัววัว
ถ้าเราตอบแทนคุณวัวโดยทำร้ายมันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ต่อให้เป็นวัววิเศษ
ก็ต้องล้มตายสักวัน
.………………..
แทบทุกเช้าที่ผมเดินผ่านถนนสุขุมวิทช่วงต้น
จะเห็นทางเท้าคลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยว
ฝรั่งหลายคนยังก๊งเหล้าอยู่มาตั้งแต่คืนก่อน
บ้างนอนกรนบนทางเท้าเหมือนสุนัขริมถนน
นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหญิงสาวไทยทั้งแท้และเทียมริมถนนสายใหญ่โดยไม่ยี่หระสายตาชาวบ้าน
ขณะที่พระออกบิณฑบาตและเด็กไปโรงเรียน บางเช้าโสเภณีตบตีด่าทอกัน เป็นเหมือนภาพเหนือจริง แต่เกิดขึ้นทุกวัน
ทำให้อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า
เราอยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวมากจนยอมลดมาตรฐานทางศีลธรรม จริยธรรม
และความเป็นไทยไปแล้วหรือไม่
แน่ละ ทุกคนมีเสรีภาพที่จะกินเหล้าเคล้านารีได้ทั้งคืนถึงเช้า
แต่ลองคิดในสเกลที่เล็กลง หากแขกที่มาเยือนบ้านเรากินเหล้าถึงเช้า
ฟัดกันหน้าห้องนอนของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
เรามองการท่องเที่ยวอยู่แค่มุมเดียวคือมุมของเงินตราและ จีดีพี.
ทุกสิ่งดีมีด้านลบ วัวยิ่งมีขนาดใหญ่ กองมูลยิ่งโต ปัญหาแท็กซี่สูบเลือดนักท่องเที่ยวเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง
ยังมีปัญหาอื่นซ่อนอยู่ เช่น การขายตัว คุณภาพชีวิตประชาชน
ชาวประมงเลิกหาปลา ชาวนาเลิกปลูกข้าว การทำลายธรรมชาติ
เหล่านี้เป็นปัญหาในระยะยาว
คำถามที่ไม่ค่อยมีใครตั้งคือ คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นหรือไม่จากการท่องเที่ยว และในระยะยาวประเทศดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
ผมจำได้ว่าสมัยเด็ก หาดใหญ่เป็นเมืองท่องเที่ยว
นักเดินทางจากมาเลเซียทุกวันหยุด ใช้จ่ายเต็มที่
เพราะเงินมาเลย์มีค่ากว่าเงินไทย ผลก็คือค่าครองชีพในหาดใหญ่สูงขึ้นทันที
เพราะพ่อค้าแม่ค้าไม่อยากขายของด้วยราคาคนไทยอีก
เมืองไทยยุคที่การท่องเที่ยวขยายตัวขึ้นจากเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า จาก
tourism ธรรมดาเป็น mass tourism
รถบัสขนนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละหลายร้อยคัน
ผลกระทบต่อชาวบ้านย่อมเลี่ยงไม่พ้น อาหารการกินแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น
การสัญจรลำบากขึ้น
หารถแท็กซี่ได้สักคันนับเป็นบุญวาสนาที่ผูกกันมาแต่ปางก่อน!
เราต้องถามตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้ว cash cow
ตัวนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นกว่าเดิมไหม ค่าครองชีพสูงขึ้นไหม
คนไทยเดือดร้อนจากการสัญจรเพราะคนขับแท็กซี่ปฏิเสธเราเนื่องจากตีหัวฝรั่งได้เงินมากกว่าหรือไม่
ฯลฯ
.………………..
เมืองไทยโชคดีมี cash cow หลายตัวซึ่งประเทศอื่นไม่มี
แต่เราต้องระวังไม่เป็น ‘สามล้อถูกหวย’ ถูกล็อตเตอรีแล้วเสียคน
หรือได้รับมรดกแล้วหมดตัว
หากเราจะสร้างชาติวางรากที่ดีให้ลูกหลาน
เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมองไกลกว่าแค่รีดนมวัวไปเรื่อย ๆ
เราต้องระวังไม่พึ่งการท่องเที่ยวเป็น cash cow ไปตลอดชีพ
หรือเป็นรายได้หลักจนคนไทยทำอะไรไม่เป็น
สมมุติว่าวันหนึ่งเศรษฐกิจล่ม การเมืองวุ่นวาย
หรือด้วยเหตุใดก็ตามที่ทำให้วัววิเศษป่วยหนัก
นักท่องเที่ยวไม่มาเยือนเมืองไทย ประเทศก็อาจล้มได้เช่นกัน
เพราะเราทำอะไรอื่นไม่เป็น
แต่จุดที่สำคัญกว่านั้นไม่ใช่เงินตรา หากคือคุณภาพของคนและชาติของเราในระยะยาว
คำถามคือ เรากำลังพึ่งพาการท่องเที่ยวจนทำอาชีพอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือไม่
ทุกสังคมต้องมีองคาพยพแข็งแรง มีสัดส่วนคนใช้แรงงาน คนใช้สมอง นักคิด
นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ เกษตรกร นักบวช ฯลฯ ในสัดส่วนที่สมดุล
ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นเด็กหัวโตแขนขาลีบ
นอกจากนี้ยังต้องการรักษาสมดุลระหว่างวิถีชีวิตแบบเดิมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ
เราต้องรักษาสมดุลระหว่างคนปลูกข้าวกับคนให้บริการนวดเท้ากับทัวริสต์
ระหว่างชาวประมงที่หาปลากับชาวประมงที่พานักท่องเที่ยวไปชมเกาะ
ระหว่างเกษตรกรกับคนขับรถรับจ้างให้นักท่องเที่ยว
เราควรถามตัวเองว่า เราจะยืนบนโลกแบบไหนในสิบปี ยี่สิบปี
ห้าสิบปีข้างหน้า เราอยากให้ลูกหลานเป็นคนแบบไหน
เราอยากให้เมืองไทยเป็นประเทศที่ผู้คนฉลาดคิดค้นนวัตกรรมหรือฉลาดแกมโกง
เป็นประเทศที่เป็นคนกำหนดเกมและผู้นำทาง หรือคิดอะไรไม่เป็น เดินตามเขาต้อย
ๆ อย่างเดียว เป็นประเทศที่สร้างสิ่งใหม่หรือขายของเก่ากินไปเรื่อย ๆ
บางทีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น
ประเทศซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามไม่แพ้เมืองไทย
แต่ประเทศนี้ไม่ทุ่มทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
กลับพัฒนาคนให้คิดค้นนวัตกรรมด้านต่าง ๆ และเป็นหนึ่งในชนชาติผู้นำโลก
บางทีหากคนไทยต้องการอยู่รอด ยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ต้องพึ่งใคร
ควรหรือไม่ที่เราจะมุ่งทิศไปในทางของความหลากหลาย
พึ่งตัวเองได้อย่างครบวงจร? ทุกองคาพยพของสังคมแข็งแรง
เหล่านี้เป็นจุดที่คนไทยทั้งชาติควรรับรู้แล้วกำหนดทิศทางและชะตาชีวิตของเราเองและลูกหลานของเรา
แทนที่จะปล่อยประเทศให้อยู่ในมือของคนเห็นแก่ตัว โลภ เขลา และสายตาสั้น
ไล่ลงมาจากนักการเมืองถึงชาวบ้าน เพราะหากเราไม่ทำอะไร
ช้าหรือเร็วเราจะพบว่านักท่องเที่ยวหดหายไปเหมือนปลาในทะเลซึ่งถูกชาวประมงมักง่ายใช้ระเบิดฆ่าตายหมด
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ไม่มีอะไรดีๆ อยู่ยั่งยืนตลอดกาล และวัววิเศษเป็นได้ทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง
.………………..
ขอบพระคุณแหล่งที่มา : วินทร์ เลียววาริณ,สาระน่ารู้