ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชาติชาย ถุงเงิน ได้โพสต์ถึงเบื้องหลังของเจ้าหน้าที่ผู้ปิดทองหลังพระ คอยเร่งอุดรูน้ำที่ซึมเข้าถ้ำหลวงฯ ตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่ำ เพื่อลำเลียงทั้ง 13 ชีวิต ออกมาได้อย่างปลอดภัยที่สุดว่า
ไม่สนใจพวกผม ก็ไม่ว่าอะไร ....นี่คือคำพูดหนึ่งในเจ้าหน้าที่กู้ภัยสยามรวมใจ ระหว่างที่ทุกคนมัวแต่ใจจดใจจ่อว่าทั้ง 13 คน จะออกมาจากถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนเมื่อไหร่ ออกมากี่คน ใครจะเป็นคนออกคนแรก ฯลฯ จะมีใครรู้บ้างมั้ย ว่ายังไม่เจ้าหน้าที่อีกส่วน ที่กำลังพยายามเร่งอุดรูน้ำที่ซึมเข้าถ้ำหลวงฯ ตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่ำ ผมกล้ายืนยันและมักจะให้เครดิตหน่วยงานทุกครั้งเวลารายงานข่าว ทั้งกู้ภัยสยามรวมใจ ทหารจาก มทบ.37 ทหารค่ายทหารเสือพ่อขุนจอมธรรม ร่วมทั้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เค้ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ 13 คนปลอดภัย
ผมตามภารกิจกับเค้ามา 6 วันเต็ม ขึ้นเขาลงห้วยอย่างบ้าคลั่ง ขึ้นเขาลงเขาแต่ละวันไม่น้อยกว่า 5 กิโล ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เดินขนานกับทางน้ำ หารูน้ำและเอากระสอบทราย ปิดรู สร้างฝาย ไม่น้อยกว่า 20 จุด ทางทิศเหนือของถ้ำหลวงฯ ติดกับดอยผาหมีอาหารไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครคอยมาส่ง ไม่มีโต๊ะดีๆ เก้าอี้นั่งสบายๆให้นั่ง มื้อที่เห็นกินทุกวัน หมูข้าวเหนียว และข้าวเหนียวก็โคตรแข็ง(ปาหัวหมาแตก)
ทีแรกผมเห็นพี่ๆกู้ภัยสยามรวมใจ ดูท่าทางผอมเพรียว คิดในใจ...จะยกท่อไหวเหรอวะ บางคนนี่แบบเหมือนขี้ยา แต่เชื่อมั้ย พวกพี่เค้ามีน้ำใจ รักน้องๆที่ติดถ้ำ ไม่ต่างจากพวกโลกสวย หรือผู้ใหญ่ที่มักเอาหน้าเอาตาทางสังคม พี่กู้ภัยฯบอกผมคำเดียว ผมโคตรซึ้งใจ เค้าบอกผมว่า "ลูก เมีย ผมก็มี ถ้าผมไม่สงสารเด็กผมไม่มาหรอก ฝนตกผมยังต้องเอาน้ำออก วางท่อ แข่งกับเวลา เขาก็สูง หินก็ลื่น ถ้าผมเป็นไรคนนึง แต่เด็ก 13 คน ออกมาและไม่ตาย ก็คุ้มนะ"
แต่เมื่อรู้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่ในถ้ำนำเด็กออกมาได้ พวกเค้าดีใจ และน้ำตาไหลแบบไม่อายเลย
...ผมก็เป็นแค่นักข่าว ทำหน้าที่เพียงส่งสาร ไม่ได้ออกอากาศ ก็ไม่เป็นไร
...แต่ถ้าเจ้าหน้าที่คนนึงเป็นไรไป เสียหายแน่นอน
เหตุการณ์นี้ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกัน เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกัน แบบไม่กลัวชีวิตจะเกิดอันตราย เพราะหนึ่งเดียวคือ เราต้องเอา 13 คนออกมาอย่างปลอดภัย
#ปิดทองหลังพระยังมี
#ปิดรูหลังถ้ำก็ต้องมีได้
