เมื่อวันที่ 12 ก.ค.
ผู้สื่อข่ารายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)
มีมติเห็นชอบการดำเนินงานของหน่วยงานตามมาตรการหรือแนวทางของ กสม.
ตามรายงานผลการตรวจสอบที่ 211/2560 เรื่อง
สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ
อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิและสถานะบุคคล
กรณีขอให้มีการตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนสำหรับบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวม
สืบเนื่องจาก เมื่อเดือนก.พ.2559 มีผู้ร้องเรียนต่อ กสม.
ขอให้ตรวจสอบกรณีกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวม
มีความประสงค์ที่จะเข้ารับการตรวจพิสูจน์ว่าตนเองมีภาวะเพศกำกวมหรือไม่
เพื่อยื่นเรื่องขอเปลี่ยนคำนำหน้านาม
แต่ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยเพื่อยืนยันภาวะเพศกำกวมได้
ทำให้ผู้ร้องไม่มีหลักฐานประกอบการพิจารณาขอเปลี่ยนคำนำหน้านาม
กสม.
พิจารณาแล้วเห็นว่า ประเทศไทยมีการออกกฎหมาย ระเบียบ
และแนวปฏิบัติในการให้สิทธิบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวมสามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามให้ถูกต้องและสอดคล้องกับเพศสภาพในปัจจุบันของบุคคลดังกล่าวได้
อีกทั้งยังให้สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและสิทธิในการเข้าถึงยาประเภทต่าง
ๆ ที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษาภาวะเพศกำกวมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งถือเป็นการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวมให้ได้รับการยอมรับจากสังคม
รวมทั้งใช้สิทธิต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับบุคลทั่วไป
อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ผู้ร้องยังไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในภาวะเพศกำกวมในอันที่จะได้รับสิทธิในการบริการสาธารณสุขและการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทะเบียนบุคคล
ดังนั้น เพื่อสิทธิประโยชน์ที่ผู้ร้องพึงมีพึงได้ กสม.
จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542
มาตรา 15 (5)
ส่งเรื่องให้องค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาดำเนินการ
และมีผลการดำเนินงานตามแนวทางของ กสม. ดังนี้
1.
กสม. ขอให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ผู้ร้องรับการวินิจฉัยอยู่แล้ว
พิจารณาตรวจวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวมหรือไม่
ตามวิธีการทางการแพทย์ตามสภาพความเป็นจริง
2. กสม.
ขอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)
พิจารณากรณีกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI)
ซึ่งเข้าข่ายเป็นบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวม หรือ มีเพศสรีระมากกว่าหนึ่งเพศ
(Intersex) ตามที่แพทย์ให้การรับรองแล้ว
สามารถดำเนินการผ่าตัดแปลงเพศของตนตามคำรับรองของแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตามสิทธิหลักประกันสุขภาพที่บุคคลดังกล่าวพึงมีตามกฎหมาย
และเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ หรือ คนข้ามเพศ
(Transgender) ในระยะยาว
อาจให้ได้รับสิทธิในการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนร่างกายตามความรู้สึกของตนเองให้ตรงตามเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ
โดยอาศัยสิทธิตามหลักประกันสุขภาพ
ส่วนกรณีที่บุคคลซึ่งผ่านการผ่าตัดแปลงเพศแล้ว
หรือ คนข้ามเพศ (Transgender) นั้น สปสช.
จะรวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อพิจารณาประกาศกำหนดให้เป็นประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุขที่บุคคลจะมีสิทธิได้รับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
5 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ต่อไป
ดังนั้นกสม.
จึงเห็นควรยุติการติดตามผลการดำเนินการกรณีดังกล่าว ตามระเบียบ กสม.
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2561
ข้อ 60 (1) กรณีที่บุคคลหรือหน่วยงานได้ดำเนินการตามมาตรการหรือแนวทางของ
กสม.