เสนอใช้ยาแรง! ล้างข้าราชการในระบบโกงกินบ้านเมือง ต้อง “ไล่ออก-ติดคุก”

ความพยายามในการแก้ไขปัญการทุจริตในวงการราชการ-การเมือง มีมาอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ทศวรรษ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนองค์กรกำกับ จากส่วนราชการเป็นองค์กรอิสระ

แต่การทุจริตก็ไม่ได้มีอัตราลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตรงกันข้ามกลับมีวงเงินการทุจริตที่สูงขึ้น มีรูปแบบการทุจริตที่หลากหลาย แนบเนียน ยากที่จะปราบปรามมากขึ้น

“ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร” คิดค้นเครื่องมือ และลงมือทำสำรวจ ออกแบบการวิจัย หลายสมัย หลายประเด็น บางส่วนมีดัชนีที่ดีขึ้น แต่ยังมียอดปิรามิด ที่กฏหมายเอื้อมไปไม่ถึง ข้อเสนอตีเหล็กตอนร้อน ในวาระที่มีรัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ ควรออกกฏเหล็ก ใช้กฏหมายที่เป็นยาแรง มีฐานความผิดที่ครอบคลุมถึงข้าราชการระดับสูงซึ่งร่ำรวยผิดปกติ แบบไม่มีที่มา-ที่ไปของทรัพย์สิน เหมือนกับกฏหมายการปราบคอร์รัปชันของเขตปกครองพิเศษเกาะฮ่องกง ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ในปี 2520

“กฎหมายแรงๆ ขนาดนี้ก็คงจะต้องมีกระบวนการ อาจจะต้องมีการศึกษาวิจัยให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง แล้วดูว่า หากจะมาปรับใช้ในเมืองไทยจะปรับอย่างไร เพราะว่าระบบกฎหมายวัฒนธรรมวิธีคิดของเราก็ไม่เหมือนกับที่ฮ่องกง แล้วมันก็มีความจำเป็นที่กฎหมายจะใช้ได้ผลนั้นต้องผ่านกระบวนการ ที่ให้ประชนได้รับรู้ แล้วก็ คือ มีการปรึษาหารือด้วยกันด้วยว่าเห็นด้วยไหม เพื่อที่จะให้มันออกมาประสบความสำเร็จ” และไม่เพียงตำรวจเท่านั้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย แต่ครอบคลุมถึง ข้าราชการพลเรือนด้วย

ที่มาของมาตรการ “ยาแรง” ที่ใช้เค้าโครงของ “ตำรวจฮ่องกง” จากคำบอกเล่าของ “ดร.ผาสุก” คือ “มาตรการป้องกันการเรียกรับสินบนในระบบราชการของไทยนั้นไม่เพียงพอ ในกรณีของตำรวจ ทำให้คิดถึง สิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกง เมื่อทศวรรษ 2510-2520 ซึ่งเป็นลักษณะของการส่งส่วยคล้ายๆ กับของบ้านเรา”

“อย่างไรก็ตามการใช้ยาแรงนี้ก็ต้องทำควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยน “ระบบ” การรับคน เข้ามาเป็นข้าราชการ ต้องปรับปรุงระบบการเลื่อนขั้น ระบบการให้เงินเดือน ระบบการแต่งตั้งต่างๆ ให้เป็นระบบที่ เป็นไปตามหลักสากล ตรวจสอบได้และ มีความโปร่งใส และผู้ที่มีอำนาจในการแต่งตั้ง ให้เป็นไปในลักษณะของการ “กระจายอำนาจ” มากกว่าที่จะเป็นการให้อำนาจกระจุกอยู่ทีคนระดับสูงเพียงไม่กี่คน”

ที่มา thaipublica